ต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว เรื่อง“ภาษาการเมือง(ที่เข้าใจว่ายังสับสนกันอยู่เกี่ยวกับอุดมคติทางการเมือง)” ตามทัศนะของ พระธรรมโกศาจารย์ พุททาสภิกขุ ที่ได้แสดงเอาไว้ในการอบรมนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มพุทธศาสตร์ เรื่อง “ภาษาเกี่ยวกับการเมือง” (https://pagoda.or.th/buddhadasa/20230330.html) ดังได้นำความมาเผยแพร่ ดังนี้

“…ประชาธิปไตยเฟ้อ

ที่มันมีแต่ประชาธิปไตยเฟ้อ เฟ้อคือมันเกิน มันล้นเหลือ ทำไมจึงว่าเฟ้อ เพราะว่ารัฐธรรมนูญทั้งหลายมันเขียนไว้กว้าง มันเปิดโอกาสไว้กว้างไปหมด ใครจะดึงไปทางไหนก็ได้ รัฐธรรมนูญทุกฉบับในโลกที่มองเห็นอยู่นี้รู้สึกว่ามันเฟ้อ เพราะมันเปิดไว้กว้าง แล้วมันจะไปทางไหนก็ได้ แล้วแต่พวกไหนจะพาไป มันก็พาไปตามประโยชน์ของตน ตามประโยชน์แห่งพรรคพวกของตน ถ้ามันเกิดเป็นพรรค มันก็ไปตามพรรค ถ้ายังเป็น คนคนอยู่มันก็ไปตามบุคคล ล้วนแต่พาไปหาผลประโยชน์ของตน สามารถที่จะทำได้อย่างนั้น เพราะนั้น จึงเกิดคนที่ยากจนเกินไป หรือเกิดคนที่มั่งมีเกินไปขึ้นมา เพราะมันเขียนไว้เพ้อ คือมันกว้าง

แต่ถ้ามันเขียนไว้ชัดรัดกุมเหมือนสังคมนิยม หรือเป็นอะไรชัดลงไป มันก็ไปได้ตามหลักการนั้นๆ คือมันยังดีกว่าเพ้อ ถ้าว่าหลักการนั้นๆ มันถูก มันก็เป็นสิ่งที่จะพากันไปได้ คือพาประเทศชาติไปได้ เดี๋ยวนี้เราจะต้องพิจารณาดูกันให้ดีว่าทำไม มีประชาธิปไตยกันมาตั้งหลายปีในโลกนี้นี่ก็ร้อยกว่าปีแล้ว มันก็ทำให้มีสันติภาพไม่ได้ หรือว่าจะย้อนไปถึงต้นตอบ้าง เดิมสมัยกรีก สมัยโรมัน ซึ่งเค้าก็จัดว่าเป็นประชาธิปไตยชนิดหนึ่ง จนบัดนี้มันก็ตั้งพันปี มันก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เพราะมันเฟ้อ เพราะคำว่าประชาธิปไตยนี้มันเฟ้อ แล้วมันก็ยิ่งไม่มีรูป ไม่มีรอย ไม่มีคลองไม่มีอะไรที่จะยึดถือสันติภาพได้

ต้องระวังประชาธิปไตยเพ้อและ ประชาธิปไตยเฟ้อให้ดีดี เนี่ย พวกเราอย่าไปโง่งมงาย กระโดยลงไปในลักษณะอย่างนั้น มันต้องเป็นประชาธิปไตยของคนที่มีสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นประชาธิปไตยของผู้ที่เห็นแก่ผู้อื่น มีการบังคับตัวได้ให้เห็นแก่ผู้อื่น มันจึงจะถูกต้อง นี้ระวังคำว่าประชาธิปไตย

3. เผด็จการ

ก็อยากจะพูดถึงคำว่าเผด็จการเพราะมันคู่กันกับคำว่าประชาธิปไตย มันแยกกันไม่ออก เอามาดูทีเดียวพร้อมกัน คำว่าเผด็จการเดี๋ยวนี้เราก็กลัวกันเหมือนกลัวผี ผีนั้นกลัวแต่คนโง่ คนฉลาดไม่กลัว เพราะคนฉลาดจะรู้ว่า ผีคืออันนั้นคือยังไง เราก็ไม่กลัวผี สิ่งที่เรียกว่าผี กลัวกันแต่คนโง่ ก็เรียกว่าเผด็จการแบบกลัวผี เพราะเราไม่รู้จักมัน เราไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้

สิ่งที่เรียกกันว่าเผด็จการนั้น แยกกันออกเป็น 2 ความหมายกันซะก่อนดีกว่า คือ

ความหมายที่เป็นอุดมคติการเมืองอย่างที่เค้าบัญญัติกันเอาไว้ในตำราการเมือง ไม่ไหวจริง มันคงจะเลวแน่ เพราะว่าคนมันเห็นแก่ตัว เพราะว่าเผด็จการเอาเพื่อประโยชน์แก่ตัว คำว่าเผด็จการที่เป็นอุดมคติการเมืองแบบนั้นมันใช้ไม่ได้…” (อ่านต่อฉบับหน้า)