กระแสความนิยมของ พรรคก้าวไกล จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด จากนี้อาจประเมินได้ไม่ง่ายนัก เมื่อ โพลทุกสำนักไม่สามารถเปิดเผยผลการสำรวจความเห็นได้ไม่เช่นนั้นจะเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561
และนี่อาจเป็นจังหวะที่ทำให้ พรรคเพื่อไทย ขยับลุยแต้ม ใช้ทุกทางเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทวงคืนกระแส คนรุ่นใหม่ เพราะต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทย อยู่ในภาวะที่ถูกเปรียบเทียบกับพรรคก้าวไกล ทั้งที่ต่างอยู่ในขั้วที่เรียกตัวเองว่า ประชาธิปไตย เช่นเดียวกัน
ทั้งที่พรรคเพื่อไทยประกาศว่าจะเป็นพรรคใหญ่กวาดที่นั่งส.ส.เข้าสภาฯ เป็นอันดับ1 พร้อมทำหน้าที่เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่กลับกลายเป็นว่า กระแส ของพรรคก้าวไกลมาแรงแซงแทบทุกโพล
แต่เมื่อวันนี้โพลทุกสำนักถูกเบรก ยาวไปอีก 7 วันจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง หลังปิดหีบ 17.00 น. อาจเป็นห้วงเวลา เอาคืน สำหรับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการเล่นในเกมที่ประเมินแล้วว่า พรรคเพื่อไทยมีความได้เปรียบ และเหนือกว่า พรรคก้าวไกลอยู่หลายขุม นั่นคือการทำพื้นที่ ในส่วนของส.ส.ให้เข้าสภาฯมากที่สุด
อย่าลืมว่าการเลือกตั้งรอบนี้มีส.ส.เขต มากถึง 400 เขต 400 ที่นั่ง ขณะที่พรรคก้าวไกล เองถูกประเมินว่าอาจทำได้ในส่วนของ ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งมีอยู่ 100 เก้าอี้ !
ความได้เปรียบของพรรคเพื่อไทยคือการมี บ้านใหญ่ ส.ส.เจ้าถิ่น ที่มีความสัมพันธ์เข้มแข็ง กับพี่ประชาชนในแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด รวมถึงการเลือกตั้งรอบนี้ พรรคก้าวไกล ยังต้องประเมินด้วยว่าจะไม่มีคะแนนเสียงที่เทมาจาก เมื่อคราวที่ พรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งเป็นพรรคสาขาของพรรคเพื่อไทย ถูกยุบพรรคก่อนถึงวันเลือกตั้งเมื่อปี 2562
ทำให้ในครั้งนั้น แม้ พรรคอนาคตใหม่ จะเป็นพรรคหน้าใหม่ได้รับอานิสงน์จากคะแนนของพรรคไทยรักชาติ เทแบ่งไปให้ จนทำให้พรรคอนาคตใหม่กวาดส.ส.เข้าสภาฯ ไปได้ถึง 81 ที่นั้ง
แต่สถานการณ์วันนี้พรรคเพื่อไทยเองอยู่ในจุดที่ แพ้ไม่ได้ และต้องการ ทางเลือก ที่ไม่มี พรรคก้าวไกล และที่สำคัญไปกว่านั้น พรรคเพื่อไทยรู้แล้วว่า หากการเลือกตั้งรอบนี้ปล่อยให้พรรคก้าวไกล ขยายฐานเสียง รุกเข้ามากินพื้นที่ของพรรคตัวเองต่อไปเช่นนี้ ย่อมจะส่งผลกระทบต่อการเมืองในวันข้างหน้า อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง !