สถาพร ศรีสัจจัง

ชื่อของ “เซอร์ ไอแซค นิวตัน” นั้นเป็นชื่อของ “นักคิด” (The Thinker) และ นักวิทยาศาสตร์ “ต้นแบบ” คนสำคัญ ที่ช่วยสร้างฐานรากทางการคิดแบบ “วิทยาศาสตร์” ของชาวโลกตะวันตก เป็นต้นคิดที่สำคัญยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับ “กฎว่าด้วยความโน้มถ่วงของโลก” ที่ยังทรงอิทธิพลต่อชาวโลก (รวมถึงคนตะวันออกที่ไปยอมรับ และสมาทานวิทยาศาสตร์แบบโลกตะวันตกเป็นสรณะด้วย) อยู่จนถึงปัจจุบันนี้

แต่ฟังว่า เขาก็นับเป็น “ชาวคริสต์” คนสำคัญที่สนใจในเรื่อง “รหัสยะ” แห่งถ้อยความในพระคัมภีร์ไบเบิลไปพร้อมๆกันอีกด้วย

เรื่องเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ ได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก เมื่อมีการพบเอกสารบันทึกเกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อการวิเคราะห์ และ “ตีความ” เรื่องราวที่เกี่ยวกับ “วันสิ้นโลก” (End of Dates) ในพระคัมภีร์ดังกล่าว

เอกสารที่ว่าได้รับการเปิดเผยเมื่อ นายจอห์น เมนาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ ชื่อลือโลก ได้ประมูลเอกสารที่ไม่เคยเปิดเผยหรือตีพิมพ์มาก่อนของนิวตันมาจากบริษัทประมูล Sotheby's และในกลุ่มเอกสาร(ลายมือ)ดังกล่าว มีอยู่แผ่นหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการนำหลักคณิตศาสตร์มาคำนวณถึง “วันสิ้นโลก” ตามรหัสยะแห่งถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในบท “วิวรณ์” ของพระคัมภีร์ไบเบิล ศูนย์รวมศรัทธาของชาวคริสต์ทั้งโลก

สรุปผลคำนวณให้สั้นสุดจะได้ความว่า “ ปีค.ศ.2060 คือปีแห่งวันสิ้นโลก” ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า “วันสิ้นโลก” อยู่ห่างจากปี ค.ศ.2023 (คือปีนี้) เพียง 37 ปีเท่านั้นเอง!

ฟังว่าข้อมูลสำคัญที่นิวตันนำมาใช้เป็นฐานในการวิเคราะห์คำนวณนั้นมีรายละเอียดมาจาก “พระธรรมแดเนียล” (The book of Daniel) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าด้วยประวัติและคำทำนายของศาสดาพยากรณ์(The phophet) ชื่อ “Daniel”  ผู้นำชาวอิสราเอลขณะที่ตกอยู่ภายใต้ระบบการปกครองของนครรัฐบาบิโลนยุคโบราณ

ในข้อสรุปดังกล่าว นิวตันอ้างอิงถึงมหาสงคราม “อมาเก็ดดอน” (Amageddon) ในคัมภีร์ ซึ่งเป็นการสู้รบกันระหว่างฝ่าย “ธรรม” (ปกป้องพระคริสต์) กับ ฝ่าย “อธรรม” (Anti christ หรือ “ซาตาน”) โดยในท้ายสุดฝ่าย “ธรรม” ซึ่งปกป้องพระเจ้าจะเป็นฝ่ายชนะ และนครเยรูซาเล็มจะได้รับการฟื้นฟูบูรณะ จากนั้น Jesus Christ หรือ “พระเยซู” จะเสด็จกลับมายังโลกอีกครั้ง เพื่อจัดการปกครองโลกแห่งสันติธรรม

เรื่องเกี่ยวกับการเสด็จกลับมายังโลกอีกครั้งของพระเยซูนี้ “คริสตจักรเซเวนเดย์ แอดเวนติส” (Seventhday adventis church) นิกายหนึ่งของคริสตจักรที่ถือกำเนิดในประเเทศสหรัฐอเมริกาเคยวิเคราะห์ว่าปีที่จะเสด็จกลับคือ ค.ศ.1844 แต่ดูเหมือนกาลไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น

เกี่ยวกับการวิเคราะห์ตีความเรื่อง “วันสิ้นโลก” นี้ มีนักวิเคราะห์แบะนักคิดนักเขียนชาวโลก(ทั้งตะวันตกและตะวันออก)เป็นจำนวนมากนำมาเขียนถึง เฉพาะในเมืองไทยเองก็มีเป็นจำนวนมาก ที่น่าสนใจก็ คือ บทความของท่านอาจารย์ ดร.เสรี พงศ์พิศ ผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับคริสตจักรมาอย่างยาวนาน ที่ถ้าจำไม่ผิด ท่านน่าจะเขียนขึ้นในช่วงปี 2563-4 หรืออะไรประมาณนั้น(หาต้นฉบับตรวจสอบไม่ทัน)

จำได้อีกว่า ท่านเขียนถึงเรื่องของพระคัมภีร์ “วิวรณ์” หรือ ที่เรียกเป็นชื่อภาษาอังกฤษว่า “Apocalypsis” ซึ่งเป็นพระคัมภีร์เล่มมสุดท้ายในพระคัมภีร์ไบเบิล ชื่อพระคัมภีร์ดังกล่าวหมายถึงการเปิดเผยพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับวันสิ้นโลก โดยท่านพยายามตีความแบบ “นักคิดร่วมสมัย” ที่น่าสนใจยิ่ง

ดร.เสรี สรุปว่า ความจริงแล้วเนื้อสารใน “Apocalypsis” น่าจะมีจุดมุ่งอยู่ที่ความต้องการเตือนให้ “คนเดินทางผิด” (ทำความชั่ว เช่น ก่อสงคราม ก่อวิกฤติโลกร้อน ก่อระบบทุนนิยมบริโภคแบบล้างผลาญ ก่อระบบความเหลื่อมล้ำแบบสามานย์ขึ้นในสังคมโลก ฯลฯ)ได้กลับตัวกลับใจมาเดินในเส้นทางของพระเจ้า 

คือไม่รุกรานหรือเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อนบ้าน ไม่คิดยึดเอาของคนอื่นมาเป็นของตนเอง (ปล้น) ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่มนุษย์ 

หรือไม่ทำอะไรอะไรก็ตามที่เป็น “ทุลักษณะ” ซึ่งผู้มีใจสูง หรือ “มนุษย์” ที่พัฒนาไกลจาก “อันดับวานร” มามาก จนมีคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม แล้ว ไม่พึงปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องการเข่นฆ่าทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพียงเพื่อให้ตนและเผ่าพันธุ์ตนหรือบริวารข้าทาสตนได้เสวยสุขอยู่บนแรงงานและเลือดเนื้อชีวิตของผู้อื่น

จำได้ ดร.เสรี พงศ์พิศ ได้ยกตัวอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องหนึ่งที่โด่งดังและทำเงินไปทั่วโลก คือ เรื่อง “Apocalyp now” ผลงานของผู้กำกับชื่อดังคือ ฟรานซิส คอบโปลา ซึ่งเป็นเรื่องสะท้อนการฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมทารุณของทหารอเมริกันใน “สงครามเวียดนาม” โดยไม่จำแนกว่าเป็นเด็ก ผู้หญิง คนชรา หรือผู้บริสุทธิ์ใดๆ

แม้ดร.เสรี จะไม่เขียนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประเทศใดคือต้นแบบของ “ผู้นำ” ในการสร้างวิกฤติโลก และ เป็น “ต้นเหตุ” แห่ง “สงคราม” ซึ่งเป็น “พาหะ” ในการก่อโรค “กลืนกินชีวิตวิตคน” ขึ้น แต่การยกตัวอย่างสงครามเวียดนามจากภาพยนตร์เรื่อง “Apocalyp now” มาให้เห็นดังกล่าว ย่อมชี้ชัดว่า “ฆาตกรโลก” ตัวสำคัญที่ว่านั้นชื่ออะไร?

ก็นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาจวบจนบัดนี้ ที่กินเวลาเพียง 75 ปีนั่นแหละ ผู้นำชาติใดกัน? ที่ก่อเหตุแห่งการฆ่าคนขึ้นมากที่สุดในโลก ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ผู้นำชาติไหนกันเล่า? ที่มุ่งสร้างให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในหลายๆประเทศ ผู้นำชาติไหนกันเล่า? ที่มุ่งค้าสงครามเพื่อขายอาวุธจนมั่งคั่งมหาศาล และใช้ความมั่งคั่งนั้นสร้าง “แสนยานุภาพแห่งการฆ่า” จนงบกลาโหมของประเทศตนเกือบจะมากเป็นครึ่งหนึ่งของโลกไปแล้ว  

และ ผู้นำชาติไหนกันเล่า ที่ส่งกองกำลังทหารและสรรพาวุธไปแสดงการข่มขู่คุกคามผู้คนทั่วโลกให้ประจักษ์ตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนถึงบัดนี้?  ผู้นำชาติไหนกันเล่า? ที่มีนโยบายไปจัดตั้งกองกำลังและอาวุธฆ่าคนเป็น “ฐานทัพ” ไว้ตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆทั่วโลก ฯลฯ

หรือใครจะยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ แต่แปลกบรรดาชาติเก่าแก่แห่งยุโรป ที่เรียกตัวเองว่า “ชาติอารยะ” หรือ “ชาติที่พัฒนา” แล้วทั้งหลาย เหมือนตาบอดมองไม่เห็นความเป็นผู้นำในการ “Anti Christ” ของประเทศยิ่งใหญ่นั้น ยังคงเป็นพันธมิตรในการสร้าง “ยุคคนกินคน” ขึ้นข่มขู่ชาวโลกอยู่อย่างเข้มแข็ง เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร

หรือเป็นเพราะ แท้จริงแล้วเป็นเพราะตัวเองนั่นแหละคือต้นแบบที่เป็น “ดีเอ็นเอ” เพาะขยายพันธุ์ ของ “จักรพรรดินิยมตัวจริง” แห่งยุค “คนกินคน” นี้!!ฯ