วันนี้ วันที่ 17 เมษายน 2566 ยังเป็นวันหยุดชดเชยเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ วันสงกรานต์ แม้เราๆท่านๆหลายคนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุดจะเริ่มทยอยกันเดินทางกลับมาบ้างแล้ว แต่ยังมีที่เดินทางกลับกันในวันนี้บ้าง ก็ขอให้เดินทางถึงที่หมายโดยสวัสดิภา
ตามธรรมเนียมในทุกปีนั้น จะได้ยกเอาธรรมะของพระเกจิที่เป็นที่เคารพนับถือมาเผยแพร่ วันนี้จึงขออนเชิญบางช่วงบางตอนของพระธรรมเทศนาวันสงกรานต์ ของพระธรรมโฆษาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ แห่งวัดสวนโมกขพลาราม สุราษฎร์ธานี ที่https://www.pagoda.or.th/buddhadasa/2019-05-24-10-12-13-2.html รวบรวมเอาไว้ดังนี้
เนื่องด้วยคำว่า "สงกรานต์" เป็นส่วนใหญ่ คำว่าสงกรานต์ คำนี้ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็น สังกันตะ แปลว่าก้าวล่วงไป แปลว่าก้าวไปพร้อม คือการก้าวหน้า คำว่าสงกรานต์แปลว่าก้าวหน้า ก็หมายความว่าก้าวไปข้างหน้า เวลาก้าวไปข้างหน้าตามที่กำหนดไว้ว่าปีหนึ่ง ดังนี้โดยเฉพาะคำว่าสงกรานต์แปลว่าการก้าวหน้า เราก็จะต้องรู้เรื่องการก้าวหน้าของเวลาเป็นส่วนสำคัญ จึงจะเรียกได้ว่ารู้เรื่องสงกรานต์ คำว่าความก้าวหน้านี้ก็พอจะเข้าใจกันได้ ว่าอะไรๆมันล่วงไปข้างหน้า แต่ว่ามันมีความสำคัญที่มันเกี่ยวกันกับมนุษย์อย่างไร นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาพินิจพิจารณากันให้เป็นอย่างดี เกี่ยวกับข้อนี้มีทางที่จะมองเห็นได้เป็น 2 อย่าง อย่างแรกก็คือ ความก้าวหน้าของเวลา อย่างที่สองก็คือ ความก้าวหน้าของบุคคล ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้ ถ้าเวลา
ก้าวหน้า คนก็ถูกกิน ถ้าคนก้าวหน้า เวลาก็ถูกกิน ใครฟังเข้าใจ คนนั้นเป็นผู้มีปัญญา
ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน นี้ก็พอจะเห็นได้ไม่ยากนัก ว่าวันคืนมันล่วงไปๆ คนมันก็แก่ชราลงๆๆ และใกล้ความตายเข้าไปทุกที จนถึงความตายในที่สุด นี้เรียกว่าเวลามันก้าวหน้า คนก็ถูกกิน แต่ทีนี้ถ้าคนเกิดก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คือคนได้รู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นหัวใจของพระศาสนาโดยแท้จริง คือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาที่จะยึดมั่นแล้ว เวลาก็ทำอะไรบุคคลนั้นไม่ได้ เพราะบุคคลนั้นพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างนี้เรียกว่า บุคคลนั้นกินเวลา เวลาเป็นฝ่ายที่ถูกกิน
สรุปความสั้นๆ ก็ว่า ถ้าคนไม่รู้ธรรมะ เวลาก็กินคน ถ้าคนรู้ธรรมะ คนก็กินเวลา การที่เวลากินคนนั้นไม่เป็นของสนุกเลย หมายความว่ามีความทุกข์ร้อนนานาประการเกี่ยวกับการที่เวลามันล่วงไปๆ เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมากก็ร้อนใจอยู่ด้วยเรื่องเกี่ยวกับเวลา คือยังทำอะไรไม่เสร็จ ยังทำอะไรไม่ได้ตามที่ตัวต้องการ ยังหิวยังกระหายอยู่เสมอ อย่างนี้เรียกว่าคนลำบากเดือดร้อนเพราะถูกเวลากิน เพราะว่าเขาไม่เป็นผู้รู้ธรรม ไม่รู้จักปล่อยวางสิ่งทั้งปวง อย่าให้มารบกวนจิตใจ ถ้าเราพิจารณาดูอีกทางหนึ่ง ก็จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่รู้ธรรมะนั้นย่อมเดินถอยหลัง เพราะถูกเวลากิน ไม่มีการก้าวหน้า คนโง่ คนพาล คนเขลาชนิดนี้ย่อมไม่มีสงกรานต์กับใครเลย เพราะว่าเขาไม่ก้าวหน้า แต่กลับถอยหลังไปเสียอีก ถ้าบุคคลผู้ใดรู้ธรรม บุคคลนั้นก้าวหน้าเรื่อยไป บุคคลนี้มีสงกรานต์ คือมีการก้าวหน้า