ยังมีความพยายามที่จะรักษา คอนเซ็ป ยึดจุดยืนทางการเมืองของตัวเองเอาไว้อย่างชัดเจน แม้ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐ เพิ่งถูกท้าทายจากการบุกเข้าประชิดถึง เวทีปราศรัย ที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 เมื่อวันที่ 1 เม.ย.66 ที่ผ่านมา 

 แม้จะมีการปะทะกันบ้าง ระหว่างแกนนำกลุ่มทะลุวัง ที่นำทีมมาโดย ตะวันและแบม สองแกนนำกลุ่ม จนกลายเป็นการเพิ่มความคุกรุ่นขณะที่แกนนำพรรคพลังประชารัฐ กำลังปราศรัย  แต่ดูเหมือนว่า บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังคงเลือกที่จะส่งสัญญาณ ไปยัง สมาชิกพรรคว่าไม่ให้ใช้ ความรุนแรง เป็นการตอบโต้ 

 มีรายงานจากพรรคพลังประชารัฐ ต่อเหตุการณ์ การ์ดปะทะกับกลุ่มทะลุวัง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
 
 พล.อ.ประวิตร ได้กำชับแกนนำพรรครวมทั้งผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนว่า ห้ามใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด หากกลุ่มผู้ประท้วงเข้ามาในพื้นที่หาเสียงก็ให้เชิญมาพูดคุยทำความเข้าใจ เพราะต้องรักษาบรรยากาศที่ดีไว้และรอประชาชนตัดสินผ่านการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.66

 แหล่งข่าวยังระบุด้วยว่า พล.อ.ประวิตร บอกว่า  ใครทำผิด-ทำถูก สังคมพิจารณาได้ แต่สมาชิกพรรคอย่าทำผิดกฎหมาย และอย่าใช้ความรุนแรง


 แน่นอนว่าจากนี้ไป โอกาสที่จะเกิดสถานการณ์ความชุลมุนวุ่นวายตามเวทีปราศรัย ของพรรคการเมืองอื่นๆในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะพรรคในฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล ย่อมเป็นไปได้สูง ไม่ว่าจะด้วยต้องการนำเสนอ ข้อเรียกร้อง หรือต้องการยั่วยุ ให้เกิดการปะทะจากฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด หรือแม้แต่ มือที่สาม แต่สำหรับ บิ๊กป้อม แล้วย่อมประเมินได้ว่า เหตุดังกล่าวสามารถแปรเปลี่ยนเป็นได้ทั้ง วิกฤต และ โอกาส สำหรับพรรคพลังประชารัฐ และการตอกย้ำม็อตโต้ที่ว่าด้วย ก้าวข้ามความขัดแย้ง 

 ดูเหมือนว่า  แรงกดดันจาก ภายนอก ที่พุ่งมายัง บิ๊กป้อม ยังไม่ได้สร้างความหวั่นไหว เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร เขียนจดหมายผ่านเฟซบุกส่วนตัว เพื่อชี้แจงถึงเหตุและผลว่า ทำไม เขาจึงไม่ไปร่วม เวทีดีเบต   ไม่ว่าฝั่งตรงข้ามจะตีความเช่นใด แต่ในบทสรุปตอนท้ายของจดหมายเปิดผนึก ระบุว่าเขายินดีเปิดรับ การพูดคุย แต่ขอให้มาพบกันตามนัดหมายและเป็นการส่วนตัว 
 น่าสนใจว่า บทบาทที่ พี่ใหญ่ จะดำเนินจากไป จะสร้างผลบวกให้กับพรรคพลังประชารัฐ ในยามที่ถูกจับตาว่า เก้าอี้ส.ส.อาจจะลดลง ได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงการพิสูจน์ม็อตโต้ ก้าวข้ามความขัดแย้ง หลังเลือกตั้ง จะทำได้จริงหรือไม่ !?