ยูร กมลเสรีรัตน์
3.เบ้าหลอมและบ่มเพาะ
โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัยที่เด็กชายอาจินต์ ปัญจพรรค์ ย้ายไปเรียนชั้นประถมปีที่ 2 เป็นโรงเรียนที่พี่ชายเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 อยู่ที่ตำบลห้วยจระเข้ เขากับพี่ชายเดินไปโรงเรียนไม่ใกล้ไม่ไกลนัก พอได้เหงื่อ โรงเรียนมีเนื้อที่กว้างขวาง อาคารใหญ่หลายหลัง มีสนามฟุตบอล โรงยิมนาสติกหลังใหญ่มาก มีสระน้ำ โรงอาหารใหญ่โต จุจำนวนนักเรียนแล้ว มองดูโหรงเหรง เพราะเป็นโรงเรียนนายร้อยตำรวจเดิมที่ใช้ฝึกวิชาต่าง ๆ
โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัยถือว่าเป็นโรงเรียนที่ปลูกฝังในเรื่องจิตสำนึกในวัยเด็ก ซึ่งค่อย ๆ ซึมซับทีละน้อย เมื่อเขาขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 มีหนังสือเรียนเพิ่มขึ้น เป็นหนังสือธรรมจริยาที่แต่งเป็นนิทานเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับเด็ก ให้คติเรื่องความดีความชั่ว จรรยามรรยาท ความเพียร การมัธยัสถ์ อาจินต์ ปัญจพรรค์เล่าเรื่องนี้ว่า...
“...หลังปกสมุดเรียนปกอ่อนทุกเล่มก็ยังมีสุภาษิตพิมพ์ไว้ 10 กว่าข้อ เรียกว่า สุภาษิตหลังสมุด ว่าเด็กที่ดีต้องทำอย่างไร ฉันยังจำได้ข้อหนึ่งว่า สิ่งของต่าง ๆ นั้น เราต้องจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ‘หยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูก็งามตา’ และยังมีบทเรียนเรื่องหนึ่งมีหัวข้อว่า ‘สะอาดกาย เจริญวัย สะอาดใจ เจริญสุข’ มีนิทานเรื่อง อย่าเล่นให้เสียของ, อย่าเล่นเป็นพาลเกเร, นิทานเรื่อง เด็กชายขม มรรยาทไม่ดี เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเด็กชายขาบ ซึ่งเป็นเด็กนิสัยดี คอยสอนเด็กชายขมอยู่เสมอ...”
เด็กชายอาจินต์ ปัญจพรรค์ได้เรียนอ่านเขียน เรียนเลข ท่องสูตรแม่ 2 ถึงแม่ 12 อย่างที่หลาย ๆ คนเคยท่องกันในสมัยประถมว่า “ 2 หนึ่ง 12 2 สอง 14 2 สาม 16... ” เขาเล่าต่อว่า... “และท่องการใช้ไม้ม้วน ‘ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่...’
บทท่องจำการใช้ไม้ม้วน จะช่วยในการจำของเด็ก ๆ ทำให้นึกถึงสมัยเรียนชั้นประถมที่จะตะเบ็งเสียงดังกระหึ่มท่องกันจนสุดเสียงพร้อมกันทั้งชั้นก่อนเลิกเรียน นับเป็นอดีตในวัยเรียนที่นึกถึงแล้ว ทำให้อมยิ้ม...
“ ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ มิหลงใหลใครขอดู
จะใคร่ลงเรือใบ ดูน้ำใสและปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง
เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี”
บทท่องจำการใช้ไม้ม้วน ที่อาจินต์ ปัญจพรรค์กล่าวถึง แต่งโดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ผู้แต่งแบบเรียนภาษาไทยชุดแรกของไทยในสมัยรัชการที่ 5 มีทั้งหมด 6 เล่ม 1 ใน 6 เล่มคือหนังสือ “มูลบทบรรพกิจ” เป็นหนังสือเล่มแรกที่สอนอ่านเขียนเบื้องต้น ซึ่งบรรจุบทท่องจำการใช้ไม้ม้วน แต่งด้วยกาพย์ยานี 11
ความรักและความผูกพันที่มีต่อหนังสือทุกลมหายใจ อาจินต์ ปัญพรรค์ได้เขียนบรรยายความรู้สึกถึงความรักความผูกพันที่มีต่อหนังสือไทยและอักษรไทยด้วยลีลาชวนอ่าน ทำให้มองเห็นภาพพจน์ไปด้วย...
“หนังสือไทยมีเสน่ห์ผูกพันจิตใจของฉัน ตั้งแต่ตัว ก. ถึง ฮ. ก็เริ่มมีเสน่ห์เสียแล้วด้วยชื่อประจำตัวของมัน, ก. ไก่ ถ้าเขียนดี ๆ ก็จะเห็นจะงอยปากไก่ชัดเจน ชะโงกออกมาบนหัวของอักษรตัวนี้ ฮ. นกฮูก มีลวดลายตวัดบนหัว ชวนงุนงงและน่ากลัวด้วยชื่อ, ทำให้เด็กน้อยผู้เริ่มเรียนนึกถึงตาวาวและปากงุ้ม มีบรรยากาศของกลางคืนประหนึ่งบอกทางอ้อมว่า จะต้องใช้กาลเวลาพากเพียรจนถึงกลางคืน จึงจะเรียนถึงตัวอักษรสุดท้ายนี้”
ด้วยเป็นเด็กช่างจินตนาการ ซึ่งบ่งบอกลักษณะของคนช่างคิดช่างฝัน ฉายแววนักประพันธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย แม้แต่ตัว ก.สระอา อ่านว่า “กา” ทำให้เขาอดนึกถึงเสียงดังแว่วมาของอีกาไม่ได้ โดยเฉพาะบทกลอนที่ว่า “แม่ไก่อยู่ในตะกร้า ไข่ออกมาสี่ห้าใบ อีกาก็มาไล่ อีแม่ไก่ก็มาไล่ตีกา” ซึ่งแสดงถึงสัญลักษณ์ของการเรียนขั้นต้น ก็ประกอบให้เห็นเป็นรูปร่างของตัวอักษรด้วยเสียงสระ
เพียงตัวก. ไก่ และสระ อา แค่สองอย่างนี้ เขาก็วาดมโนภาพเป็นเรื่องราวสั้น ๆ และยังทำให้จดจำการเรียนได้แม่นยำขึ้น ดังที่อาจินต์ ปัญจพรรค์บอกเล่าให้ฟังครั้งไปเยี่ยมสนทนาที่บ้านย่านสุทธิสารว่า..
“ผมยังจำได้ว่า ตอน 5-6 ขวบผมอ่าน ‘ตาดีมือแป แกไปนาตาขำ’ บุคลิกของตาดีก็คือ มือแป เดินออกจากนาของตัวเองไปนาของเพื่อน ทำให้ผมจินตนาการฉากในท้องนาตามท้องเรื่องไปด้วย ถือว่าเป็นนวนิยายเรื่องแรกในวัยเด็กนะ ต่อมา ก็มี ‘ตาโถไปป่า หาไม้ไผ่ใส่ตะเข้’ วาดภาพป่าเขียวครึ้มตามได้เลย ความจริงคนแต่งเขาซ่อนความรักในธรรมชาติไว้ให้กับเด็ก ๆ ”
เขาขยายความต่อว่าหนังสือเรียนในวัยเด็กเล่มแรก ๆ มีรสของนวนิยายแฝงอยู่ เหมือนพาเขาก้าวเข้าไปสู่โลกอันกว้างใหญ่ของนวนิยาย ดังเช่นเรื่อง‘ตาดีมือแป แกไปนาตาขำ’ ทำให้เขาเกิดจินตนาการและมองเห็นภาพพจน์
"อย่าง ‘ตาโถไปป่า หาไม้ไผ่ใส่ตะเข้’ ถือว่าเป็นนวนิยายป่าเรื่องแรกในชีวิตได้เลยนะ ตาโถ แกเป็นคนนำทางพาไปเที่ยวป่าไผ่ เกิดเหตุการณ์ขึ้นในเรื่อง มีการผจญภัยด้วย อ่านแล้ว มันสนุก มันทำให้เราเกิดจินตนาการ”
เขาพูดถึงนวนิยายเกี่ยวกับป่าที่เขาได้อ่านในเวลาต่อมาตอนโต นั่นก็คือ นวนิยายชุดเรื่อง “ล่องไพร” อันคลาสสิกของน้อย อินทนนท์ หรือมาลัย ชูพินิจ นักเขียนแนวป่าดงพงไพรรุ่นบรมครู ซึ่งผู้อ่านติดกันงอมแงมทั่วบ้านทั่วเมืองหรือเรื่อง “King Solomon Mine” นวนิยายผจญภัยในป่าของเซอร์ เอช. ไรเดอร์ แฮกการ์ด ที่สร้างเป็นภาพยนตร์อันโด่งดัง
อาจินต์ ปัญจพรรค์เล่าเกี่ยวกับหนังสือเรียน ซึ่งมีเรื่องที่สนุกสำหรับเด็กในสมัยนั้นต่อว่า...
“แล้วยังมีเรื่อง ‘ตาหวังหลังโกง’ ผู้ให้บทเรียนเจ็บแสบแก่ ‘หนูเหน็งหนูเหล็ง’ 2 เด็กไร้จรรยาผู้ชอบล้อเลียนความพิการของผู้ใหญ่ เรื่องนี้เป็นนิทานเต็มรูปแบบ พร้อมด้วยภาพวาดอันตรึงใจ ตาหวังหลังโกงถูกหนูเหน็งกับหนูเหล็งทำท่าหลังโกงล้อเลียนแกอยู่ทุกวัน และตาหวังก็ได้วางระเบิดเวลาไว้ให้เด็กเลวทั้งสองนั้นอย่างแนบเนียน โดยการให้สตางค์แก่เด็กทั้งสองนั้นทุกครั้งเป็นค่าล้อเลียน...”
เขาเล่าต่อว่าจนวันที่ตาแก่หลังโกงคนนี้เปลี่ยนตัวเป็นตาหม็อง ชายหลังโกงต่างถิ่น เห็นหนูเหน็งหนูเหล็งตรงเข้ามาทำท่าหลังโกงล้อเลียน โดยหวังว่าจะได้รางวัลเหมือนที่เคยได้จากตาหวัง แต่ก็ต้องถูกหวดด้วยไม้เท้าจากตาหม็อง เป็นการลงโทษอย่างสาสมที่ล้อเลียนผู้ใหญ่ แทนที่จะได้สตางค์เป็นรางวัล กลับได้น้ำตาด้วยความเจ็บปวด
นิทานเรื่องนี้นอกจากสอนเรื่อง ห. นำเสียงสูงและสอดแทรกเรื่องจริยธรรมให้แก่เด็ก ๆ แล้ว อาจินต์ ปัญจพรรค์ให้ความเห็นว่า นิทานเรื่องนี้คือ แบบอย่างของเรื่องสั้นหักมุม ซึ่งเป็นการหักมุมโดยการคลี่คลายปมอย่างง่าย ๆ ไม่แฝงเร้นหรือซ่อนความใดๆ –นี่คือต้นทุนการอ่านหนังสือเรียนในวัยเด็กที่เขาได้รับมาโดยไม่รู้ตัว
“ในการเขียน ถ้าไม่มีอะไรให้คุณประโยชน์แก่ผู้อ่านเลย อย่าเขียนเลยดีกว่า”(อาจินต์ ปัญจพรรค์)