แสงไทย เค้าภูไทย
ปรากฏการณ์แบงก์อเมริกันสองแห่งล้มที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารตกรูดไปทั่วโลกส่งสัญญาณเตือนว่าในยุค เศรษฐกิจไร้พรมแดน วิกฤตการณ์ใดๆที่เกิดกับมหาอำนาจโลก จะส่งผลถึงเราด้วย หากยังไม่สร้างภูมิคุ้มกันที่แน่นหนา
จากการปิดดำเนินการของธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB)และธนาคาร Signature Bankของสหรัฐเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วส่งผลกระทบไปยังวงการธนาคารทั่วโลก ถึงขนาดทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารและบริษัทไฟแนนซ์ตกระนาว
แม้แต่ธนาคารไทยที่มีเสถียรภาพ ราคาหุ้นก็ยังตกตามตลาดโลก
ทั้งนี้เป็นผลทางจิตวิทยา เมื่อเกิดความรู้สึกอ่อนไหวไปกับเหตุการณ์ก็เกิดความรู้สึกหมู่เป็น sentiment ไปทั่วโลก
นักลงทุนเกรงว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะตก ก็เลยรีบขายก่อนที่จะตกไปกว่านี้
กลายเป็นการเร่งปฏิกิริยาให้แรงขึ้น เป็นแลนด์สไลด์ซึ่งก็ไม่ได้ส่งผลถึงราคาหุ้น ตลาดหุ้นเท่านั้น หากยังลามถึงค่าเงินบาทด้วย
ทั้งนี้เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ ค่าเงินดอลลาร์สรอ.ได้รับผลกระทบโดยตรงอ่อนค่าลง ซึ่งผกผันกับค่าบาท
ค่าเงินบาทที่ก่อนหน้านี้เคลื่อนไหวที่ 35 บาทดอลลาร์ขึ้น ก็กลับแข็งขึ้นมาเป็น 34.55-34.85 บาทดอลลาร์เมื่อเปิดตลาดวันจันทร์
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ค่าบาทแข็งมากระดับ 31-32 บาทดอลลาร์ทำให้ไทยขาดดุลการค้ามาก
บรรดาผู้ส่งออกจึงเรียกร้องธปท.ให้แทรกแซงค่าบาทให้อ่อนค่าลง โดยระดับค่าบาทที่เหมาะสมที่จะทำให้สินค้าไทยมีขีดแข่งขันในตลาดโลกได้ดีที่สุดคือระดับ 35 บาทดอลลาร์
ขณะนี้ กังวลกันว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Fed) 21-22 มี.ค.นี้ จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก ค่าดอลลาร์ก็จะแข็งอีก
ก่อนหน้านี้ คาดกันว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50%เท่ากับครั้งที่แล้ว ทั้งนี้เพราะอัตราเงินเฟ้อยังลดลงไม่ได้ตามเป้าหมาย
แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อยังสูงประธานเฟดเจอโรม พาเวล ก็แย้มพรายว่า อาจจะขึ้นอีก 0.75%
เท่านั้นเอง เกิดอุปทานหมู่ ว่าธนาคารจะมีปัญหา ทำให้คนแห่ถอนเงิน โดยเฉพาะธนาคาร SVB ที่สนับสนุนนักลงทุนสตาร์ตอัพเป็นหลักจนธนาคารไม่มีเงินจ่าย
ส่วนธนาคารซิกเนเจอร์นั้น ผสมโรงด้วย แต่ไม่เกี่ยวกับการสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมใด หากแต่เป็นธนาคารรับฝากเงินคริปโต
ความปั่นป่วนเหล่านี้ ทำให้นักลงทุนทิ้งการลงทุนในหุ้นและเงินตราหันไปหาแหล่งพักพิงเงินทุนที่ปลอดภัยนั่นคือทองคำทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น ค่าดอลลาร์อ่อนลงจนบาทแข็ง
แม้ธนาคารกลางจะเข้ามาอุ้ม โดยให้เงินยืมแก่ธนาคารทั้งสองนำไปจ่ายโดยลูกค้าเงินฝากทุกคนสามารถเข้าถึงเงินฝากของตนได้ตั้งแต่วันจันทร์
แต่ก็ยังมีความวิตกกังวลกันเรื่องอัตราดอกเบี้ยเฟดอยู่
ทำให้ประธานเฟดต้องออกมาแสดงท่าทีหรือส่งสัญญาณว่า ประชุมกันสัปดาห์หน้า แม้จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จริง แต่จะไม่แรงถึง 0.75% โดยคาดว่าจะขึ้นราว 0.25%
นั่นแหละอารมณ์ที่ไหวหวั่นของนักลงทุนจึงเย็นลง
สภาพการณ์เหล่านี้ แม้จะเกิดกับตลาดหุ้น ตลาดทุน ตลาดเงินตรา ฯลฯในสหรัฐ ทว่าก็ส่งผลไปยังตลาดทั่วโลกด้วย
โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ที่ไทยอยู่ในกลุ่มด้วย
เราจึงต้องเตรียมพร้อม โดยสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะด้านจิตวิทยาหมู่
เหตุการณ์ที่เห็นเป็นตัวอย่างสดๆร้อนๆก็คือธนาคารไทย ที่มีทุนสำรองสูงกว่าที่กำหนด หรือมีการประกันเงินฝากที่มั่นคง
แต่พอเกิดเหตุการณ์ที่สหรัฐ ก็เกิดกระแสขวัญเสียทำเอาสะเทือนไปชั่วครู่
นี่เป็นเพราะการเชื่อมโยงถึงกันแบบไร้พรมแดนของเศรษฐกิจโลกที่เราหลีกเลี่ยงไม่พ้นนั่นเอง