เสือตัวที่ 6

ปรากฏการณ์การต่อสู้กับรัฐของขบวนการแบ่งแยกดินแดนปลายด้ามขวาน ที่ไม่ว่าจะเป็นจากการกระทำของคนกลุ่มไหนในขบวนการร้ายแห่งนี้ ต้องถือว่าคนในทุกกลุ่มทุกฝ่ายของขบวนการร้ายแห่งนี้ ล้วนมีความสัมพันธ์กันและกันอย่างแน่นแฟ้นจนแยกไม่ออกว่าเป็นการกระทำเพื่อต่อสู้กับรัฐของคนกลุ่มไหน เพราะตลอดระยะเวลาของการต่อสู้กับรัฐ คนในกลุ่มต่างๆ ที่กำลังต่อสู้กับรัฐนั้นล้วนแตกแขนงแยกกลุ่มมาจากรากเหง้าเดียวกันเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันนั้นคือการมีทัศนคติที่แปลกแยกแตกต่างจากรัฐจนไม่มีหนทางที่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับรัฐได้เลยแม้แต่น้อย ที่คนกลุ่มต่างๆ เหล่านี้พยายามสับขาหลอกหน่วยงานความมั่นคงของรัฐเรื่อยมาประหนึ่งว่าเป็นคนละกลุ่ม แต่หากแท้ที่จริงแล้วคนในกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ของขบวนการล้วนแยกกันเดิน ร่วมกันตีเพื่อความมุ่งหมายเดียวกันนั่นคืออิสระในการปกครองกันเองของคนในพื้นที่ท้องถิ่นแห่งนี้ ที่จะต่างกันเล็กน้อยก็คือความนิยมชมชอบในวิถีของการต่อสู้ที่อาจจะเลือกเดินต่างกันบ้างแต่ที่เหมือนกันคือการเลือกใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธกับรัฐ สร้างความรุนแรงเป็นตัวขับเคลื่อนขาหนึ่ง ควบคู่กับการต่อสู้ทางการเมืองที่ส่งผ่านกระบวนการสร้างมวลชนร่วมขบวนการและการต่อสู้ทางความคิดกับรัฐในทุกเวทีที่เกิดขึ้นรวมทั้งเวทีการพูดคุยเพื่อสันติภาพที่กำลังดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง

3 มีนาคม 2566 เวลา 15.10 น. ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ขบวนการร้ายแห่งนี้ ยังไม่ลดละการต่อสู้ด้วยอาวุธตราบใดที่พวกเขามีโอกาสและได้ช่วงจังหวะที่สอดประสานกับการต่อสู้ทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นจนหน่วยงานภาครัฐต่างหลงทางการเดินเกมของแกนนำขบวนการแห่งนี้ที่ขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐอย่างลุ่มลึก ดังที่เหตุคนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ของคณะ พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาค 4 และ รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า บริเวณถนนบ้านไอร์กาแซ ม.6 ต.ศรีสาคร ซึ่งห่างจากฐานปฏิบัติการทางทหารเพียง 800 เมตร ด้วยระเบิดแสวงเครื่องประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้งต้ม หนัก 50 กก. และบริเวณริมถนนพบสายไฟฟ้าจำนวนหนึ่งลากยาวเข้าไปในป่ารกทึบ ประมาณ 100 เมตร ปรากฏการณ์ลอบก่อเหตุร้ายเพื่อหมายเอาชีวิตคนระดับรองแม่ทัพภาคที่ 4 จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องที่คนร้ายทั่วไประดับล่างๆ จะสามารถกระทำได้ ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถปิดลับการวางแผน และการก่อเหตุให้เป็นผลสำเร็จ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถหลบหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอยได้โดยง่ายเช่นนี้

การเกาะติดพฤติกรรมของคนระดับนำของกองทัพน่าจะมีสายข่าวที่แทรกปนไปกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างแนบเนียน ด้วยก่อนเกิดเหตุ พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาค 4 และ รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้เดินทางด้วยรถยนต์ ไปติดตามเหตุคนร้าย ใช้อาวุธปืนสงคราม และขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ ใส่ฐานปฏิบัติการ กองร้อย ทพ.ที่ 4906 ซึ่งตั้งอยู่บ้านไอร์กาแซ ม.6 ต.ศรีสาคร เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 66 ที่ผ่านมา แม้การจัดกำลังในการลงพื้นที่ครั้งนี้ของหน่วยงานด้านความมั่นคง จะจัดกำลังคุ้มครองอย่างแน่นหนา พยายามซ่อนพรางรถยนต์ของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเป็นอย่างดี โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดอโณทัย นำขบวน คันแรกเป็นรถยนต์ตู้สีขาวยี่ห้อโตโยต้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน คันที่ 2 เป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้ารุ่นเฟอร์จูเนอร์สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ทั้ง 2 คัน ได้ดัดแปลงติดตั้งเครื่องตัดสัญญาณ และคันที่ 3 เป็นรถยนต์ของ พล.ต.ไพศาล รองแม่ทัพภาค 4 และคันที่ 4 เป็นรถยนต์เจ้าหน้าที่ทหาร ทำหน้าที่ชุดคุ้มครอง รองแม่ทัพภาค 4 ขับตามปิดท้ายขบวน

เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ ได้มีคนร้ายใช้แบตเตอรี่ที่ลากสายไฟฟ้า ยาวเข้าไปในป่า ประมาณ 100 เมตร จุดชนวน ในขณะรถยนต์คันที่ 2 วิ่งผ่าน ส่งผลให้กำลังพลชุด EOD เสียชีวิตไปถึง 2 นาย และกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของรัฐ จัดกำลังจำนวน 2 ชุดปฏิบัติการ ออกติดตามไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งคาดว่า หลบหนีขึ้นเทือกเขาหลังหมู่บ้าน พร้อมได้ประสานไปยังฐานปฏิบัติการใกล้เคียง จัดกำลังพลสนับสนุนในการตั้งจุดตรวจจุดสกัด แต่ยังไม่พบร่องรอยแต่อย่างใด อันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงเหล่านี้เป็นมืออาชีพที่สามารถปกปิดการวางแผน ซักซ้อม เตรียมการฝังระเบิด ลากสายไฟฟ้า แล้วยังใจเย็นที่จะจุดระเบิดด้วยการกดผ่านสายไฟฟ้าที่ลากไว้ไปยังข้างทางที่ซ่อนพรางไว้อย่างแม่นยำ ทั้งยังสามารถหลบหลีกหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอยอย่างแนบเนียนแม้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธของรัฐจะจัดกำลังคุ้มครองป้องกันคนระดับนำของกองทัพอย่างแน่นหนาแค่ไหน ทั้งยังสามารถหลบหนีการติดตามไล่ล่าจับกุมคนร้ายกลุ่มนี้ไปได้ด้วยการสนับสนุนของมวลชนคนในพื้นที่ได้อย่างมืออาชีพ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงบ่งชี้อย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่า กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนจากรัฐ ยังคงมุ่งมั่นแยกกันเดิน ร่วมกันตีเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ด้วยการแบ่งหน้าที่ แบ่งบทบาทการต่อสู้กับรัฐตามท่วงทำนองที่กลมกลืนจนรัฐจะตามไม่ทัน กลุ่มกองกำลังติดอาวุธภายใต้การบ่งการของแกนนำขบวนการร้ายแห่งนี้ ยังคงใช้ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ที่นำไปสู่การสร้างความสูญเสียให้กับฝ่ายรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ พี่น้องประชาชน ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระทำต่อเป้าหมายที่คุ้มค่าอย่างเช่นคนระดับรองแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ย่อมสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐ ในขณะเดียวกัน การกระทำเช่นนี้ย่อมสร้างความเชื่อมั่นต่อการต่อสู้ของขบวนการแห่งนี้ที่สร้างความหวังในชัยชนะได้มากขึ้น อันเป็นการท้าทายอำนาจรัฐอีกครั้ง ที่สื่อให้เห็นว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนแห่งนี้มีความเหนือกว่ารัฐเพียงใด