ทวี สุรฤทธิกุล

เลือกตั้งครั้งนี้ “กระสุน” หรือเงินยังสำคัญที่สุด แต่บางคนก็ยังลุ้นที่จะใช้ “บารมี”

ตัวชี้วัดชัด ๆ ง่าย ๆ ก็คือ คนย้ายเข้าพรรคใดมากกว่ากัน ระหว่างภูมิใจไทยกับพลังประชารัฐ

นายอนุทินกับพลเอกประยุทธใครมีเงินมากกว่ากัน ในทำนองเดียวกัน สองคนนี้ใครมีบารมีมากกว่ากัน !

หรือทำไมกลุ่ม “บ้านใหญ่” ที่ชลบุรี หรือคนสกุล “คุณปลื้ม” จึงหนีออกจากพลังประชารัฐไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย ในขณะที่กลุ่ม “บ้านใหม่” ของนายสุชาติ ชมกลิ่น จึงออกมาหนุนลุงตู่อย่าง “เทกระเป๋า”

การเลือกตั้งของประเทศไทยก็ยังวนเวียนอยู่แค่นี้ “กระสุน” กับ “บารมี” หรือหากจะเจาะจงให้ชัดก็คือ “เงิน” กับ “อิทธิพล”

หลายคนทำนายกันว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 1

พรรคนี้มีอะไร มีทักษิณหนีคุกอยู่ในต่างแดน และมี “ซ้อใหญ่” อยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เงินของทั้งสองคนนี้ไม่ต้องพูดถึง แต่บารมีเล่าก็ไม่น้อยหน้าคนที่นั่งทับเก้าอี้มากว่าแปดปีในทำเนียบนั้นเลย

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งที่มีบิ๊กตู่วางอยู่บนหัว แต่ก็ดูกลวง ๆ ด้วย ส.ส.และว่าที่ผู้สมัครเกรดล่าง ๆ มีคนคำณวนว่าน่าจะได้ ส.ส.แค่ 20-30 คน รวมถึงที่ทายว่าจะไม่ได้บัญชีรายชื่อเลยสักคน !

นี่ก็ต้องตามดูว่า พลเอกประยุทธ์จะได้ลงเป็นบัญชีรายชื่อเบอร์ 1 ของพรรครวมไทยสร้างชาตินี้ไหม หรือถ้าแกไม่อยากเสี่ยง แกก็ขอเป็นแค่คนที่รอถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งก็พอ

เรียกว่า “เสี่ยง ๆ ตู่ไม่เกลือกกลั้ว ชัวร์ ๆ ตู่ช้อบชอบ”

อีกคนที่ต้องประเมินดู “สภาพ” ก็คือ “ลุงป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

เจ้าของวลี “ใจบันดาลแรง” แต่แรงที่แกมีน่าจะอยู่ได้ด้วยยาโด๊ปบางอย่าง หาใช่พลังตามธรรมชาติที่หมดสภาพไปตามวัยนั้นแล้ว การที่ประกาศว่าจะขอเป็นนายกรัฐมนตนีคนต่อไปนั้นจึงยังน่ากังขา?

ลูกพรรคโฆษณากันระงมว่า “อยากเป็นรัฐบาลต้องมาอยู่กับลุงป้อม” หรือ “พลังประชารัฐ รัฐบาล 99 เปอร์เซ็นต์” แต่ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าลุงป้อมจะได้เป็นนายกฯกี่เปอร์เซ็นต์

นักวิชาการใหญ่ในค่ายเสื้อแดงคนหนึ่งฟันธงว่า ลุงป้อมอาจจะยอม “กลืนเลือด” คือยอมยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับคนของพรรคเพื่อไทย เพราะยังไง ๆ พรรคเพื่อไทยก็ได้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 ซึ่งก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่ลุงป้อมจะยอมถอยให้ พร้อมกับเป็นแรงหนุนด้าน ส.ว.ในวุฒิสภาให้รัฐบาลใหม่

นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เอาเข้าจริง ๆ บารมีก็ยังแพ้กระสุน !

ว่ากันว่าลุงป้อมคงจะไม่รับเงินจากคนต่างแดนให้เสียชื่อ แต่ก็มีราคามากพอที่จะต่อรองเอาตำแหน่งสำคัญ ๆ ในรัฐบาลหน้านั้นได้ อย่างน้อย ส.ว.ถึงหลักร้อยที่ยังอยู่ในคาถาของลุงป้อม ก็เป็นฐาน “ราคา” ให้กับพรรคพลังประชารัฐได้ทั้งพรรค ถ้าจะต่อรองเอากลาโหม มหาดไทย คลัง หรือคมนาคม

ดังที่เราจะได้เห็นอาการของกลุ่มสามมิตรที่ยังไม่แตกออกจากพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงการกลับมาของกลุ่มแป้ง และอดีตบิ๊ก ๆ บางคน ก็เพราะหวังในตำแหน่งที่กระทรวงบิ๊ก ๆ เหล่านี้อยู่

อีกพรรคหนึ่งที่ไม่อาจไม่กล่าวถึงไม่ได้ ก็คือพรรคก้าวไกล

กูรูหลายสำนักเชื่อว่าน่าจะได้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 2 รองจากพรรคเพื่อไทย หรือถ้าโชคร้ายแพ้ทางกระสุน ก็อาจจะหล่นไปเป็นที่ 3 ต่อจากพรรคภูมิใจไทย

พรรคก้าวไกลอาจจะดูว่าไม่ได้ยากจนอะไรนัก แต่การใช้เงินของพรรคนี้ก็มีขีดจำกัด เพราะถ้าใช้ทุ่มไปในหลาย ๆ พื้นที่ก็อาจจะสูญเปล่า เพราะยิงสู้พรรคที่เขาเชี่ยวชาญและมีระบบหัวคะแนนที่เข้มแข็งมาก่อนนั้นไม่ได้

พรรคก้าวไกลจึงต้องใช้ “กระแส” ออกนำหน้าในการหาเสียง แล้วถ้ามีกระสุนก็ “แอบ ๆ ใช้” เพียงเพื่อรักษาน้ำใจของผู้เลือกตั้งหัวโบราณ รวมถึงที่เพื่อขอแชร์หัวคะแนนมาเป็นแนวร่วมให้บ้าง

กระแสที่ใช้มาโดยตลอดและจะใช้อย่างเข้มข้นมากขึ้นก็คือ “กระแสต่อต้านเผด็จการ - เบื่อตู่ - ไม่เอาประยุทธ์” ซึ่งก็จะกระทบพรรคร่วมรัฐบาลนั้นไปพร้อม ๆ กัน

เข้าทำนองว่า “หาเสียงเพียงสโลแกนเดียว แต่ได้เสียวไปในพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค”

ทว่าพรรคก้าวไกลก็อาจจะไม่ได้ร่วมรัฐบาล แต่จะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร ที่พร้อมจะบ่อนเซาะรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนั้น ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยไปเผลอสวาปามอะไรมูมมามร่วมกับบรรดาพรรคเสือหิวที่มารวมกันอยู่ พรรคเพื่อไทยก็จะติดร่างแหและวิบัติไปด้วย แน่นอนว่าเกิดมีการยุบสภาและเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคก้าวไกลก็จะเป็นพรรคที่โดดเด่น “เป็น “ลูกโดด” อยู่เพียงลำพัง

ประเทศไทย หรืออนาคตของพวกเขาที่จะได้ดูแลประเทศไทยนี้ต่อไป

เขาบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการเลือกด้วย “ปัจจัยโบราณ” ครั้งสุดท้าย

ปัจจัยโบราณนี้ก็คือ “เงินกับอิทธิพล” ที่พรรคก้าวไกลก็จะไม่เอาตัวเข้าไปรับวิถีกระสุนหรือขวางบารมีใคร แต่จะรอให้พรรคเหล่านั้นพังเพราะพิษกระสุนหรือบารมีนั้นไปเอง

เรื่องนี้ยังมีตอนต่อ เพื่อมามองไปด้วยกันว่าการสู้รบแบบนี้จะมีอยู่ในพื้นที่ใดของประเทศไทยบ้าง และมันจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของ “นักรบโบราณ” เหล่านั้นหรือไม่?