8 ปีที่สวมบท ผู้นำรัฐบาล ทำให้ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รับมือกับ นักการเมือง มาแล้วในหลายรูปแบบ และน่าจะมากพอที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ องครักษ์ เพื่อพิทักษ์ตัวเองในเวทีสภาฯ ในทุกศึกซักฟอก น้อยมาก !
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทั่วไป โดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 เมื่อวันที่ 15-16 ก.พ.66 ที่ผ่านมา แน่นอนว่า พรรคฝ่ายค้านล็อคเป้าถล่มไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ หนักหน่วงกว่าใคร ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทั้งในฐานะ หัวหน้ารัฐบาล ที่ต้องบริหารนโยบาย ไปจนถึงการอภิปรายพาดพิงไปถึง บุคคลใกล้ชิด ญาติพี่น้องของพล.อ.ประยุทธ์ เอง
แต่ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงด้วยตัวเอง แทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะด้วยท่าทีขึงขัง ไม่พอใจฝ่ายค้าน ที่เรียงหน้าอภิปรายฯ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ก็สามารถสวนคืนได้ทุกช็อต
การอภิปรายฯเริ่มดุเดือดเมื่อเข้าวันที่ 2พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เวลาช่วงบ่ายลุกขึ้นชี้แจงร้อนๆ ไปพร้อมๆกับ เปิดแผล ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ในคราวเดียว
โดยเฉพาะการที่ฝ่ายค้านหวังจะใช้ คดีตู้ห่าว ทุนจีนสีเทา ที่เข้ามาทำหากินในประเทศไทย เขย่ารัฐบาล ปรากฏว่าพล.อ.ประยุทธ์ ถามกลับว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 2554 ทำไมไม่มีใครรู้เรื่องเลยหรือ ? ซึ่งในปีนั้น แม้พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ต้องบอกว่าใครเป็นรัฐบาล แต่ข้อมูลพื้นที่ฐานพบว่า เป็นช่วงสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยในช่วงนั้นมีการอนุมัติให้สัญชาติกับตู้ห่าว
นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ ยังหยิบเรื่องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ยกหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านหรู ระดับราคาหลายสิบล้านบาท เจ้าของหมู่บ้านก็เป็นคนที่ พรรคฝ่ายค้าน รู้จักเป็นอย่างดี แถมยังเป็นการขายบ้านแถม นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำแผลต่อด้วยว่า ภรรยาตู้ห่าว มีส่วนเกี่ยวข้องกับ อดีตรัฐมนตรี บางพรรคการเมือง
"เรื่องคอร์รัปชั่นหลายคนกล้าพูดออกมา ทั้งที่อดีตรัฐมนตรีมีปัญหาติดคุก หนีไปต่างประเทศกก็มี แต่นับแต่ปี 57 ไม่มีรัฐมนตรีคนใดติดคุกสักราย" พล.อ.ประยุทธ์ ทิ้งท้ายเอาไว้กลางสภาฯ
ศึกซักฟอกในสภาฯ ครั้งนี้ต้องนับเป็นนัดสุดท้าย สำหรับทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เองเมื่อสภาฯชุดนี้จะหมดวาระลงในเดือนมี.ค.นี้ รวมถึงรัฐบาลเองเริ่มนับถอยหลัง ครบวาระ 4ปี จากนั้นต่างฝ่าย ต่างจะต้องไปเจอกันในศึกเลือกตั้ง ในเดือนพ.ค. นี้ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คาดการณ์เอาไว้
ดังนั้นการแปรเปลี่ยนเวทีสภาฯให้กลายเป็น สนามรบ จึงเป็นโอกาสสำหรับทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ไม่ต่างกัน สุดแท้แต่ว่า ใครจะบาดเจ็บ ได้แผลมากกว่ากันกลับไป !