ทวี สุรฤทธิกุล

เบื่อไหมครับ เวลาที่ดูนายกฯให้สัมภาษณ์แล้วท่านตวาดอารมณ์เสียใส่ผู้สื่อข่าว

เมื่อวันก่อนท่านตวาดใส่ผู้สื่อข่าว บอกว่าท่านไม่ตอบปัญหาการเมือง อย่าเอาคำถามทางการเมืองมาถามให้ท่านตอบ

ในมุมมองของนักรัฐศาสตร์ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือตำแหน่งทางการเมือง ย่อมจะต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองในทุกอากัปกริยา แม้แต่จะอ้าปากหาวเรอก็จะมีคนนำไปตีความเป็นการเมืองได้เสมอ

ในมุมมองของชาวบ้าน นายกรัฐมนตรีเป็นคนที่จะต้องทำงานให้ประชาชน สื่อมวลชนก็ทำงานเพื่อเอาคำถามที่ประชาชนอยากถามไปถามนายกรัฐมนตรีแทนประชาชน

ตอนนี้ประชาชนอยากจะรู้ว่า ท่านจะเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ อย่างน้อยก็ต้องลงสมัครแบบบัญชีรายชื่อ เพราะถ้าท่านจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็อยากให้ท่านมาจาก ส.ส. ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ถูกเสนอชื่อ หรือลอยมาจากสวรรค์ฟากฟ้าเช่นแต่ก่อน ผู้สื่อข่าวก็เอาเรื่องนี้ไปถามท่าน

การที่ท่านอารมณ์เสียอยู่เสมอ ๆ เวลาที่ต้องเจอกับคำถามที่ชาวบ้านอยากรู้ ก็แสดงว่าท่านไม่สนใจใยดีในความต้องการหรือความเดือดร้อนของผู้คน ซึ่งก็แสดงว่าท่าน “รังเกียจ” และดูแคลนประชาชนนั้น

ท่านอารมณ์เสียใส่ผู้สื่อข่าวตอนวันพุธ พอวันพฤหัสผู้เขียนก็ฟังรายการวิเคราะห์ข่าวระหว่างที่ขับรถไปธุระ คอมเมนเตเตอร์ที่มาวิเคราะห์ท่านบอกว่า นายกฯประยุทธ์อาจจะหมดความอดทน และอาจจะไปต่อในทางการเมืองไม่ไหวแล้ว

บางทีพอถึงวันที่ประกาศรับสมัครรับเลือกตั้ง ท่านก็ไม่สมัครอะไรสักอย่าง ซึ่งก็ต้องคอยดูว่าท่านจะช่วยพรรครวมไทยสร้างชาติหาเสียงอย่างทุ่มเทหรือไม่ ถ้าท่านหาเสียงอย่างทุ่มเท ซึ่งก็แน่นอนว่าท่านก็จะต้องเจอการปราศรัยโจมตีท่านอย่างรุนแรงตลอดการหาเสียงนั้นเช่นกัน ท่านจะทนได้หรือไม่ และท่านจะตอบโต้กับคู่ต่อสู้เหล่านั้นอย่างไร เพราะท่านจะต้องเป็นเป้าที่ “ใหญ่ที่สุด” แน่ ๆ ซึ่งจะต้อง “รับเละ” อยู่เพียงผู้เดียว หรืออย่างดีก็มีแค่นายธนกร วังบุญคงชนะ คอยเป็นองครักษ์พิทักษ์ตู่อยู่บ้าง เพราะแกก็ต้องไปหาเสียงช่วยตัวเองอยู่ด้วยเช่นกัน

ลุงตู่จะ “คอทั่งสันหลังเหล็ก” ทนทานพอที่จะรับศึกเลือกตั้งนี้ได้ไหม?

ถ้าท่านอารมณ์เสียเวลาที่ถูกรุมในทางการเมืองเช่นแค่ที่ถูกสื่อมวลชนตั้งคำถามมานั้น เมื่อถูกรุมปราศรัยด่าทอเสีย ๆ หาย ๆ ท่านจะทนได้แค่ไหน บางทีนิสัยทหารหัวร้อน อาจจะมีการต่อยตีกันก็เป็นได้

หรือถ้ารอดมาจนถึงวันที่ชาวบ้านไปกาบัตร ก็ต้องดูว่าคนจะกาเลือกผู้สมัครของพรรครวมไทยสร้างชาติสักกี่คน ที่คนในพรรคบอกว่าจะได้ 30 - 40 เสียงนั้นน่าจะต้องหารครึ่ง รวมทั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะมีคนกาให้พรรคนี้ได้ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของผู้มาใช้สิทธิ์หรือไม่ เช่น ถ้าผู้มาใช้สิทธิ์มาลงคะแนน 35 ล้านคน ก็ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 350,000 คน จึงจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน

แล้วหน้าตาอย่างคุณพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรค ที่แน่นอนว่าเมื่อพลเอกประยุทธ์ไม่ยอมลงเป็นบัญชีรายชื่อเบอร์ 1 คุณพีระพันธุ์ก็ต้องเป็นเบอร์ 1 แกจะได้รับโหวตถึง 3 - 4 แสนนั้นเลยหรือ

พรรครวมไทยจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อสักคนหรือไม่ ก็ยังเป็นปัญหา แม้แต่บ่อนผิดกฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่เกลื่อนเมืองก็ยังไม่กล้ารับแทง !

ทีนี้พอได้เป็นแค่พรรค “กระจอกงอกง่อย” เสียงน้อยในอันดับไกล ๆ ก็คงไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ฝันหวานที่วาดไว้ว่าจะเอานายกฯลุงตู่มาขายกับแฟนคลับ พวกที่คลั่ง “รักสงบจบที่ลุงตู่” ก็คงสูญสลาย เพราะพรรคใหญ่ ๆ กลาง ๆ เขาจับมือกันไว้ก่อนแล้ว พอเห็น รทสช.เข้ามาได้แค่หยิบมือ เขาก็คงไม่ให้ราคา แม้จะบอกว่า “ตู่พร้อมจะเป็นนายกฯนะ” พรรคอื่นเขาก็มีคนที่จะเป็นนายกฯอยู่แล้วเหมือนกัน

“น้องหนู - น้องจุ” ผู้นำพรรคที่เคยร่วมรัฐบาลอาจจะยอม แต่ถ้า “พี่ป้อม” กระดิกนิ้วเรียก พวกที่กระสันอยากเป็นรัฐบาลเหล่านี้คงจะรีบวิ่งเข้าไปหา ขอแค่กระทรวงใหญ่ ๆ ให้กับพวกข้าทั้งหลายก็พอ

พรรครวมไทยสร้างชาติจะเอาอะไรไปต่อรอง “หน้าบูด ๆ “ ของลุงตู่คนนี้กระนั้นหรือ?

ดังนั้น “ฉากทัศน์” ทางการเมืองคงจะต้องเป็นไปแบบนี้

ฉากแรก พอยุบสภา มีการรับสมัครผู้สมัครของพรรคต่าง ๆ นายกฯตู่จะไม่ลงสมัครไม่ว่าในแบบใด ๆ แต่ก็ต้องฝืนทนช่วยพรรครวมไทยสร้างชาติออกหาเสียงบ้างแบบกระท่อนกระแท่น เพราะเจอใครรุมถล่มแรง ๆ ก็จะต้องคอยหลบ บางทีอาจจะเห็นน้ำตาของชายชาติทหารไหลออกมา เมื่อถึงวันที่ถูกด่าจนทนไม่ไหว

ฉากต่อมา ผลการเลือกตั้งออกมา พรรครวมไทยสร้างชาติได้ ส.ส. 22 คน โดยได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมาแค่ 2 คน คือหัวหน้าพรรคกับขาใหญ่ในพรรคอีกคนหนึ่ง ที่ทุ่มให้ชาวบ้านกาบัตร 2 ใบเป็นพรรคเดียวกัน แล้วคนสองคนนี้ก็ “วิ่ง” ไปกราบเท้า “พี่ใหญ่” เพื่อขอร่วมรัฐบาล แต่โดนพี่ใหญ่ยื่นข้อเสนอบางอย่าง

นำมาซึ่งฉากสุดท้าย เพราะข้อเสนอนั้นบอกไม่เอา “น้องตู่” ทำให้พอน้องตู่ทราบเรื่อง ก็ขอลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติในทันที นัยว่าเพื่อให้น้อง ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ในพรรครวมไทยสร้างชาติได้ไปร่วมรัฐบาล จากนั้นสังคมอาจจะสรรเสริญส่งท้าย “ท่านรู้จักพอ เพื่อชาติและประชาชนจริง ๆ”

หลังจากจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ป้อมตำรวจหน้าบ้านลุงตู่หายไป ลุงตู่เองก็ไม่อยู่ในบ้าน

มีคนเห็นแกไปเป็นจิตอาสา เก็บขยะในคลองบางบัว หน้าตามีความสุขมาก !