แม้จะมีปัจจัยที่น่ากังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ที่ว่ากันว่า ปีนี้คือเผาจริง ชนิดเข็นขึ้นเชิงตะกอน 
    

แต่แนวโน้มการเติบโตของภาคท่องเที่ยวที่ไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีข่าวฉาวที่ออกมาทำลายภาพลักษณ์ต่อเนื่องไม่หยุดเช่นกัน แต่ก็คาดการณ์กันว่าจะไม่อาจขวางกั้นพลังและแรงดึงดูดที่ประเทศไทย มีบรรดานักท่องเที่ยวได้ โดยเฉพาะอานิสสงส์จากจีนที่เปิดประเทศ 
    

แต่อีกหนึ่งปัจจัยที่จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เรียกว่า เป็นกลไกที่มีแรงส่งสำคัญทีเดียวก็คือ เลือกตั้ง 
  

 จากความเห็นของนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ที่มองว่าการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งให้ยอดผลิต-ยอดจำหน่ายรถยนต์ในไทยเติบโตขึ้นได้ เนื่องจากต้องมีการใช้รถแห่หาเสียงตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะรถกระบะ ซึ่งคาดว่าในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งจะดันยอดขายให้เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 เช่นเดียวกับการหาเสียงเลือกตั้งในช่วงที่ผ่านมา
    

ขณะที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ที่ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า   แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภาเมื่อไหร่ แต่คาดการณ์ว่าน่าจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2566 โดยจะเห็นว่าตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา หลายพรรคการเมืองได้โหมโรงทำกิจกรรมในด้านต่างๆ กันมากขึ้น ซึ่งคาดว่าในช่วงนี้ไปจนถึงนายกฯ ประกาศยุบสภา จากที่หลายพรรคการเมืองทำกิจกรรมในด้านต่างๆ จะมีเม็ดเงินลงพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 1,000-2,000 ล้านบาทแล้ว
     

ทั้งนี้ นายธนวรรธน์ ยังชี้ว่า หากนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา และรู้วันเลือกตั้งที่ชัดเจน คาดว่าช่วงการจัดกิจกรรมหาเสียงเต็มรูปแบบของพรรคการเมืองทุกพรรคไปจนถึงวันเลือกตั้งจริง จะมีเม็ดเงินสะพัดทุกกิจกรรมลงในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศในระดับรากหญ้าไม่ต่ำกว่า 40,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 เติบโตไปพร้อมกับการท่องเที่ยว โดยดันจีดีพีไทยให้สูงขึ้นในช่วงไตรมาสดังกล่าว 1-1.5% คาดว่าจะดันให้เศรษฐกิจไทยในช่วงตลอดปี 2566 มีอัตราการเติบโตเป็นบวก 3-4% ได้อย่างแน่นอน
     

อย่างไรก็ตาม น่าสนใจว่า แค่ช่วงโหมโรงยังไม่เข้าสู่สนามเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ก็ใช้เงินไปแล้ว 1,000-2,000ล้านบาท กระนั้นตัวเลขดังกล่าวอาจเป็นการประเมินบนดิน หากแต่ใต้ดิน น่าจะใช้ไปมากกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนจะไปอยู่ในกระเป๋าใครแล้วกระจายกลับมาบำรุงรากหญ้าให้ชุ่มฉ่ำ ก็เป็นเรื่องที่ต้องฝากไว้กับคนรุ่นใหม่ ให้ช่วยพัฒนาการเมืองแบบไทย