ทีมข่าวคิดลึก
ขณะที่ "คณะรักษาความสงบแห่งชาติ" กำลังหาทางรับมือกับความวุ่นวายทางการเมือง เพื่อตรึงสถานการณ์ให้ทุกอย่างราบรื่นให้มากที่สุด ไปจนถึง "วันลงประชามติ" 7 ส.ค.นี้ แม้ว่าอาจต้องใช้หลากหลายวิธีการทั้งไม้อ่อน ไม้แข็งเพื่อรักษาสภาพไม่ให้เกิด "แรงกระเพื่อม"ก็ตามที
แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งแนวรบทางด้านการเมือง วุ่นวายมากเท่าใด ยิ่งกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิด "คลื่นแทรก" อาศัยจังหวะชุลมุนเข้ามาผสมโรง
จะด้วยเป็นเพราะประเมินแล้วว่าในห้วงเวลานี้ เหลืออีกเพียงสิบกว่าวันการลงประชามติ "ร่างรัฐธรรมนูญ" จะมีขึ้นตามกรอบเวลาที่วางเอาไว้ คือสภาวะที่กดดันต่อ คสช. ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ ผู้กุมอำนาจมากมาย หากแต่กลับต้องเผชิญกับภาวะที่เปราะบางในคราวเดียวกัน
เนื่องจากการใช้และการมีอำนาจของ คสช.ย่อมไม่สามารถนำมาฟาดฟันลงดาบได้ในทุกสถานการณ์ เพราะไม่เช่นนั้น จะเกิดภาวะที่เรียกว่า "แรงสะท้อนกลับ" จากฝ่ายต่อต้าน ฝ่ายตรงข้ามทันทีโดยเฉพาะเป็นแรงสะท้อนที่อาจส่งผลต่อการปลุกเร้าเครือข่ายประชาชนในระดับพื้นที่ จนกระทบไปยังการออกเสียงประชามติ ได้ในที่สุด !
แม้วันนี้ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. จะใช้"มาตรา 44" เพื่อรักษาความสงบและเพื่อเป็นไปในลักษณะของการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยความรวดเร็ว เด็ดขาดก็ตาม โดยล่าสุด หัวหน้าคสช. มีคำที่ 44/2559 เรื่องประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติมครั้งที่ 5 ให้ "บุญเลิศ บูรณุปกรณ์" นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) เชียงใหม่ ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง
ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้เข้าตรวจค้นบริษัท ทัศนาภรณ์จำกัด ธุรกิจของตระกูลบูรณุปกรณ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากพบเบาะแสว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการส่งจดหมายบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญไปยังบ้านเรือนประชาชนในภาคเหนือ
ขณะที่ คสช.กำลังเร่งกระชับพื้นที่"ฝ่ายการเมือง" ที่มีความเชื่อมโยงกับการสร้างความปั่นป่วนในการบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญอย่างเข้มข้นนั้น ปรากฏว่า "พระเมธีธรรมาจารย์" หรือ "เจ้าคุณประสาร" เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ศพศ.)ออกมาประกาศเคลื่อนไหว พร้อมกับปลุกพระสงฆ์ให้ออกมากดดันรัฐบาลเพื่อให้มีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่
"หากรัฐบาลยังไม่ดำเนินการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช พระสงฆ์ทั่วประเทศ และพระธรรมทูตทั่วโลกออกมาเคลื่อนไหวแน่นอน" (25 ก.ค.2559)
แต่ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ รัฐบาลและ คสช.เชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นหลังการประชุมครม.เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีคำตอบชัดเจนว่า จะยังไม่มีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ จนกว่า "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" หรือ "สมเด็จช่วง" ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ จะสามารถเคลียร์ตัวเองจากคดีการครอบครองรถเบนซ์โบราณเข้าข่ายความผิดใน 2 ข้อหากล่าวหาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
การท้าทาย ท้ารบกับ คสช. ในห้วงจังหวะที่ต้องการความสงบ เปิดทางให้
การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญมีอันต้องสะดุดได้หรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่น่าสนใจสำหรับ ฝ่ายสงฆ์ที่สนับสนุนสมเด็จช่วง และยังอาจมีผลไปเชื่อมโยงกับการต่อสู้ของ "พระธัมมชโย" เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ด้วยหรือไม่นั้น ดูเหมือนว่านี่คือ "หนังม้วนเดียวกัน" ที่เป็น "คลื่นแทรก" ที่กำลังพิสูจน์ความแข็งแกร่งของคสช.!