จะด้วยเพราะ ใจบันดาลแรง หรือเพราะความเป็น พี่ใหญ่ ที่ต้องปลุกใจ พี่น้อง ใน พรรคพลังประชารัฐ ให้ฮึกเหิม พร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ด้วยความหวัง แต่งานนี้ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ยังใช้ วันหยุดสุดสัปดาห์ ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน อย่างอารมณ์ดี
วันอาทิตย์ที่ 5 ก.พ.66 ที่ผ่านมา บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร ไปออกวิ่งที่สวนลุมฯ ตั้งแต่เช้าตรู่ พบปะพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งร่วมถ่ายภาพ และดื่มกาแฟ และพูดคุยกับชาวชมรมไทเก๊กในสวนลุมฯ อย่างอารมณ์ดี ทำให้ความเคลื่อนไหวของพล.อ.ประวิตร อยู่ในมุมโฟกัสทางการเมือง ไปทันที
การออกมาขยับของพล.อ.ประวิตร ด้วยการเดินสาย ทั้งในกรุงเทพฯ สลับกับการไปดูงานตรวจราชการในจังหวัดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นั้น แน่นอนว่ายอ่มถูกนำไปเปรียบเทียบกับ กระแส ของ บิ๊กตู่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะว่าที่แคนดิเดตนายกฯ และว่าที่ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับที่ 1 ของพรรครวมไทยสร้างชาติ อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
เมื่อ พี่ใหญ่ ขยับ และ น้องรัก อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จะเคลื่อนไหวอย่างไรกันต่อ !?
อย่างไรก็ดี กระแสของพรรคพลังประชารัฐ เวลานี้ต้องยอมรับว่า ได้ถูกผูกเอาไว้กับความเป็น พล.อ.ประวิตร ทั้งด้วยบารมี ผู้มากคอนเนคชั่น
และที่สำคัญ คือการที่บิ๊กป้อม ประกาศชูนโยบายของพรรค คือการก้าวข้ามความขัดแย้ง ปรองดองได้กับ ทุกฝ่าย ที่กำลังกลายเป็น แรงบีบ ไปยังตัวพล.อ.ประยุทธ์ เพราะอย่าลืมว่า ในท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมา และไปจนถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนั้น
พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงยืนอยู่คนละฝั่งกับ ขั้วอำนาจ ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพรรคเพื่อไทย รวมถึง พรรคก้าวไกล พรรคการเมืองที่เคลื่อนไหว ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายเรื่องการปฏิรูปสถาบัน มาโดยตลอด
ในความแตกต่างเช่นนี้ ย่อมเป็นไปได้ทั้ง ข้อดี-ข้อด้อย ในคราวเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่า ด้วยท่าทีการทอดไมตรีของพล.อ.ประวิตร ไปยัง ทุกพรรค ทุกขั้วนั้น อีกด้านหนึ่ง เขาเองยังสงวนพื้นที่ ความสัมพันธ์ ของ พี่น้อง 3ป. เอาไว้
แต่เมื่อเบื้องหลังของพล.อ.ประวิตร คือพรรคพลังประชารัฐ และ ลูกน้อง ที่ติดตามมาอยู่ด้วยกัน การเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อเช็คเรทติ้ง กระตุกกระแสให้กับพลังประชารัฐ จึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น นั่นเอง !