ดูเหมือนว่า การต่อสู้ของ พรรคก้าวไกล ในสังเวียนการเมืองรอบนี้ จะเต็มไปด้วยความเข้มข้น เผชิญหน้ากับ แรงเสียดทาน ไปพร้อมๆกับการแบก เดิมพัน เอาไว้ในมือ 

  โดยเฉพาะในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกล จะต้องรักษาพื้นที่เอาไว้ได้ ใกล้เคียงกับเมื่อครั้งที่ พรรคอนาคตใหม่ เคยทำเอาไว้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562
  
ในห้วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ย่านเยาวราช กทม. คึกคัก ครึกครื้นอย่างยิ่งเมื่อ แกนนำของหลายพรรคการเมือง ต่างพากันเดินลงพื้นที่ ไปพบปะพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ติดต่อกันทั้ง พรรคเพื่อไทย ที่มี ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ลงไปลุยถึง2คน ทั้ง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ไปกับ เสี่ยนิด เศรษฐา ทวีสิน ซีอีโอแสนสิริ ทำเอากองเชียร์เพื่อไทย มีขวัญกำลังใจขึ้นมาอีกโข 
 
จากนั้นวันต่อมาเป็นคิวของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ชิงไปก่อนช่วงบ่าย และตบท้ายด้วยคณะของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ที่ขนเอาแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงไปไหว้ขอพรที่วัดมังกรกมลาวาศ โดยมีประชาชนรอต้อนรับจำนวนมาก 
 
ส่วน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่น้อยหน้ายกทีมพรรคก้าวไกล เดินพบชาวไทยเชื้อสายจีนที่ย่ายเยาวราชเช่นกัน โดยพิธา แสดงความมั่นใจว่า กระแสของพรรคได้รับการตอบรับอย่างดี  ทำให้ยิ่งเชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งที่จะมาถึง พรรคก้าวไกลมีโอกาสชนะทั้ง 33 เขต จะสามารถเปลี่ยน กทม.ให้เป็นสีส้ม คือสีของพรรคก้าวไกลได้ 
 
ในการเลือกตั้งสนามกทม. เมื่อปี 2562 มีส.ส.ด้วยกันทั้งสิ้น 30 เขต โดย พรรคพลังประชารัฐ สามารถกวาดคะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ได้ ส.ส. ไปมากที่สุด 12 ที่นั่ง รวมได้เสียง 845,365 คะแนน พรรคอนาคตใหม่ ตามมาอันดับ 2 คว้าส.ส.ไปได้ 9 ที่นั่ง ได้คะแนน 807,942 เสียง และ พรรคเพื่อไทย ได้ 9 ที่นั่ง รวมได้604,699 คะแนน 
  
 ดังนั้นหมายความว่าแม้วันนี้ จะไม่มีพรรคอนาคตใหม่ แต่พรรคก้าวไกลในฐานะพรรคการเมือง เจนเนอร์เรชั่นที่ 2 ยังมั่นใจว่า มีเสียง คนกรุงเทพฯ ตุนเอาไว้ในมือไม่น้อยหน้า พรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นพรรคฝ่ายค้านด้วยกันเอง หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ซึ่งรอบนี้ คะแนนของพรรคพลังประชารัฐ จะต้องถูกแบ่งออกไปเมื่อเกิดพรรครวมไทยสร้างชาติขึ้นมาเป็นผู้เล่นใหม่ แต่มี ฐานเสียง เดียวกัน 
 
อย่างไรก็ดี พรรคก้าวไกล ยังมีโจทย์ยากที่ต้องคำนึง นั่นคือการแย่งคะแนนกันเอง จาก ฐานเสียงคนรุ่นใหม่ ในกทม. ยิ่งเมื่อมองย้อนกลับไปที่การเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม. เมื่อเดือนพ.ค.2565 ซึ่ง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ทำไปได้ถึง 1.3ล้านคะแนน ส่วนหนึ่งคะแนนที่เทให้ชัชชาติ ก็ไม่ใช่ฐานจากพรรคเพื่อไทยทั้งหมด 
 
แต่รอบนี้ พรรคเพื่อไทยเอง ก็อยู่ในฐานะที่ถือว่า แพ้ไม่ได้ ยิ่งเมื่อสนามกทม.จะมีการแบ่งเขตเลือกตั้ง และได้ส.ส.เพิ่มขึ้นจากเดิม 30 เขต เป็น 33 เขต โอกาส จึงเป็นทุกๆคน ทั้ง ฝั่งตรงข้าม พรรคก้าวไกลเอง หรือแม้แต่ พันธมิตรอย่างพรรคเพื่อไทยด้วยเช่นกัน !