ในลิ้นชักความทรงจำ / ยูร กมลเสรีรัตน์
คนรุ่นหลังจะไม่คุ้นหูกับนามปากกา “แข ณ วังน้อย” ซึ่งเป็นนักเขียนรุ่นเก่าลายครามร่วมยุคกับอมราวดี,ร. จันทพิมพะ,อ. สนิทวงศ์ ถ้าเป็นนักอ่านที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจึงจะรู้จัก เมื่อกว่า 10 ปีก่อน ผมก็ไม่รู้จักนามปากกานี้ ผมรู้จักนามปากกา “แข ณ วังน้อย”ในงานชุมนุมช่างวรรณกรรมเมื่อปี 2547 ที่สุชาติ สวัสดิ์ศรีหรือสิงห์สนามหลวง เจ้าสำนักช่างวรรณกรรม อดีตบรรณาธิการโลกหนังสือและช่อการะเกดจัดขึ้นที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ
พิธีการที่สำคัญในวันนั้นซึ่งมีเป็นประจำทุกครั้งก็คือ การมอบรางวัลนักเขียนช่อการะเกดเกียรติยศ และในปีนั้นมอบรางวัลนักเขียนช่อการะเกดเกียรติยศให้กับแข ณ วังน้อย ในเวลานั้นเธอมีอายุ 88 ปีแล้ว แต่ใบหน้ายังอิ่มเอิบ น้ำเสียงและสีหน้ายังแจ่มใส
เหตุที่น้อยคนจะรู้จักแข ณ วังน้อย เนื่องจากเธอมีผลงานน้อย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น ที่สำคัญ เธอหยุดเขียนหนังสือเป็นเวลานานถึง 50 ปี ในขณะที่เริ่มมีชื่อเสียง ด้วยความจำเป็นในชีวิตบางอย่าง ซึ่งจะกล่าว ถึงต่อไป เธอท้าวความสุชาติ สวัสดิ์ศรีว่า
“มีคนเขียนไปถามคุณสุชาติถึงแข ณ วังน้อย คุณสุชาติตอบว่าคงเสียชีวิตแล้ว ป้าอ่านเจอเลยเขียนจดหมายไปหาคุณสุชาติบอกว่า ป้ายังไม่ตาย ก็เลยนัดกินข้าวคุยกัน ติดต่อกันเรื่อยมา”
นั่นคือที่มาของการค้นพบแข ณ วังน้อย อย่าว่าแต่คนอ่านไม่รู้จักนามปากกา “แข ณ วังน้อย”เลย แม้กระทั่งลูกของเธอเอง ก็ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าเธอเป็นนักเขียน เพราะเธอหยุดเขียนหนังสือตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ ตอนที่ผลงานของเธอได้รับการพิมพ์รวมเล่มใหม่อีกครั้ง ลูก ๆ ที่รักการอ่านรู้เรื่อง ต่างก็ตื่นเต้นกันใหญ่ คนที่อยู่ไกลโทรศัพท์มาหาด้วยความตื่นเต้นแกมดีใจ
แข ณ วังน้อย มีชื่อจริงว่าสมพ้อง ศิริวงศ์ นามสกุลเดิมคือ “จันทร์ปรุง” เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2459 ที่ตำบลวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายกวย จันทร์ปรุงและนางเจริญ (พนมยงค์) จันทร์ปรุง บิดาเป็นผู้มีอันจะกิน เพราะปู่มีที่นาหลายร้อยไหร่ บิดาเคยมีกิจการเรืองโดยสารระหว่างกรุงเทพฯ ลพบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานีและอ่างทอง แต่กิจการนี้มีคู่แข่งสูงมาก ขาดทุน จึงต้องเลิกกิจการ
การศึกษาในวัยเด็ก แข ณ วังน้อยเรียนหนังสือที่โรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน ในเวลาต่อมาเมื่อโตขึ้น เข้าเรียนที่โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด เรียนถึงชั้นมัธยม 2 ก็ลาออก เดินทางเข้ากรุงเทพฯ และเข้าเรียนที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย เป็นโรงเรียนที่มี ชื่อเสียงมากในยุคนั้น เป็นแหล่งบ่มเพาะนักเขียนสตรีที่โดดเด่น 4 คนคืออมราวดี,ร. จันทพิมพะ,อ. สนิทวงศ์และ แข ณ วังน้อย หลังจากสำเร็จการศึกษาที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย แข ณ วังน้อย ได้เข้าเรียนต่อที่ศิริราช
พยาบาล เธอรับราชการเป็นพยาบาลครั้งแรกที่วชิระพยาบาล เขตสามเสน ทำงานได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็มีเหตุให้ลาออก เพราะเป็นสตรีรูปงามอ่อนช้อย ทำให้หนุ่มจังหวัดสงขลาต้องตาต้องใจ นั่นก็คือนายแพทย์บุญจอง ศิริวงศ์ จึงได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา จนกระทั่งมีทายาทถึง 7 คน แต่สามีได้จากไปเมื่อปีพ.ศ. 2537
สิ่งที่ฟูมฟักให้แข ณ วังน้อยมีความรักในการเขียนนั้น เนื่องจากมารดาเป็นผู้ปลูกฝังในเรื่องการอ่านตั้งแต่วัยเยาว์ ดังที่เธอเล่าว่า...
“คุณแม่ชอบอ่านเรื่องจีน พอกลับมาจากโรงเรียน คุณแม่จะเรียกให้อ่านให้ฟัง เป็นปึก ๆ มีพี่น้องแปดคน แต่ไม่เคยเรียกให้พี่น้องคนอื่นอ่าน เบื่อมาก บางทีอยากให้จบเร็ว ๆ”
บางครั้งแข ณ วังน้อยก็อ่านตัดตอนบ้าง เพื่อให้จบเร็ว ๆ จนบางทีมารดาจับได้ นี่คือเบ้าหลอมทำให้เธออยากเขียนหนังสือ ซึ่งชีวิตนักเรียนพยาบาล ทำให้เธอได้ประสบการณ์หลายอย่างจากผู้ป่วยที่มารักษา เล่าถึงความเจ็บป่วยและความท้อแท้สิ้นหวัง บางคนเล่าถึงความทุกข์และความคับแค้นในชีวิต แข ณ วังน้อย
จนกระทั่งเกิดแรงขับ แข ณ วังน้อย จึงจับปากกาเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ“คู่ทุกข์-คู่สุข” เมื่อปีพ.ศ. 2484 เขียนเสร็จแล้ว แก้ไขอยู่หลายเที่ยวจนพอใจ จึงส่งไปหนังสือพิมพ์ประชามิตร ปรากฏว่าบรรณาธิการลงให้ในเวลาอันรวดเร็ว ในเวลาต่อมา เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศจากท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภรรยาของจอมพลป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น
หลังจากนั้น แข ณ วังน้อย ก็เกิดกำลังใจ จึงมุ่งมั่นเขียนเรื่องสั้นส่งไปยังหนังสือชั้นนำในยุคนั้นอีกหลายฉบับด้วยกันได้แก่ สยามสมัย,ศิลปิน,เอกชน,โบว์แดง ฯลฯ เรียกได้ว่าหนังสือแทบทุกฉบับจะมีเรื่องสั้นของแข ณ วังน้อย ตีพิมพ์ จนติดตาผู้อ่าน ซึ่งติดตามอ่านเป็นประจำ ยุคนั้นความนิยมในการอ่านเรื่องสั้นสูงมาก รวมเรื่องสั้นที่พิมพ์ออกมาสามารถขายได้ บางเล่มถึงขั้นขายดี จนได้รับการพิมพ์ซ้ำ
เรื่องสั้นของแข ณ วังน้อย ที่ตีพิมพ์ในหนังสือต่าง ๆ ช่วงเรียนที่ศิริราชพยาบาล ที่เด่น ๆ ได้แก่ ลาก่อนโอปอ ตีพิมพ์ในเอกชนพ.ศ. 2484 ใครแพ้ ตีพิมพ์ในศิลปินพ.ศ.2485 คนดีที่ตายแล้ว ตีพิมพ์ในเอกชนพ.ศ 2486 ยาพิษในถ้วยทอง,คนที่รักครั้งสุดท้ายและมรดกชิ้นสุดท้าย เรื่องสั้นดังกล่าวรวมอยู่ในเล่มเดียวกัน จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อุดม เมื่อปีพ.ศ. 2489 ส่วนเรื่องสั้น “ฟ้าแลบ
บนสาปไตย” ตีพิมพ์ในสยามสมัยพ.ศ. 2492
“เขียนเรื่องสั้นประมาณ 40 เรื่อง โชคดีที่เรื่องสั้นไม่เคยถูกทิ้งแม้แต่เรื่องเดียว เรื่องสุดท้ายที่เขียน เรื่อง “ภัยชีวิต” ก็สามสิบปีแล้วกระมัง รู้สึกจะลงในกุลไทย ปี 2536”แข ณ วังน้อยกล่าวไว้เมื่อปี 25 47
เรื่องสั้น “ภัยชีวิต”รวมอยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้น “ช่วงสุดท้ายของชีวิต” จัดพิมพ์เมื่อปี 2546 โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า พร้อมกับนวนิยายเรื่อง “พรานชีวิต”
เมื่อเรียนจบศิริราชพยาบาล แข ณ วังน้อย ก็ยังคงเขียนเรื่องสั้นอย่างสม่ำเสมอ แม้กระทั่งแต่งงานแล้ว เรื่องสั้นที่เขียนมาประมาณ 40 เรื่องได้แก่ ลาก่อนโอปอ,แหวนวงสุดท้าย,ใครแพ้,ภายใต้พรหมลิขิต,สิ่งที่หนีไม่พ้น,คนดีที่ตายแล้ว,คนที่รักครั้งสุดท้าย,คุณหญิงดวงมาลย์,สุดหนทาง,สิ่งที่ผ่านมา,ทุเรียนในสวนเงาะ,รสวิสกี้กับกลิ่นกระดังงา,คนดีที่สวรรค์ไม่ต้องการ,เมื่อตราชูพระเจ้าเอียง,หงส์ทองบนไม้ผุ,สิ่งที่สวรรค์ไม่มี,ภัยชีวิต เป็นอาทิ
หลังจากแต่งงาน แข ณ วังน้อยได้ย้ายไปอยู่กับสามี ซึ่งเปิดโรงพยาบาลขนาดกลางที่จังหวัดสงขลา ขณะนั้นชื่อเสียงของเธอกำลังรุ่งโรจน์ จนกะทั่งวันหนึ่ง ก็มีอุปสรรคบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้ให้เธอต้องคิดอย่างหนักว่าจะหยุดเขียนหนังสือหรือไม่ เธอเล่าว่า
“โรงพยาบาลมีเตียง 25 เตียง มีหมอคนเดียว มีพยาบาลคนเดียวคือป้า หนักมาก เขียนหนังสือตอนที่กำลังจะมีลูก มีปัญหามาก
โดยเฉพาะตอนลูก 7 คนโตแล้ว ยิ่งมีเรื่องให้คิดหลายอย่าง ไหนจะเรื่องเรียน ไหนลูกบางคนจะมีคนรัก บางคนจะแต่งงาน ไหนจะช่วยงานสามี ต้องแบกภาระหนักอึ้ง
“สามีบอกว่า ขอร้องให้เลิกเขียน มาช่วยกันทำมาหากินดีว่า ลูกก็เยอะ ต้องหาเงิน ตอนมีลูกคนแรก สามีเขาไม่อยากจะให้เขียนหนังสือ ก็ไปแอบเขียน”
ทว่า แข ณ วังน้อย ไม่ได้หยุดเขียนหนังสือในทันที สามีต้องขอร้องอีกหลายครั้ง ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจหยุดเขียนหนังสือที่เธอรักเต็มหัวใจ นักเขียนสูงวัยผู้นี้สารภาพความในใจว่า...
“ยอมรับว่าใจหาย เหมือนขาดอะไรบางอย่างในชีวิตไป”
นี่คือสาเหตุของการหยุดเขียนหนังสือของแข ณ วังน้อย เป็นเวลายาวนาน แข ณ วังน้อยเขียนนวนิยายน้อยมาก มีเพียงไม่กี่เรื่อง นวนิยายเรื่องแรกคือเรื่อง “ตะรางดวงใจ” เป็นนวนิยายขนาดสั้น เขียนควบคู่ไปกับเรื่องสั้นในช่วงปีแรก
นวนิยายเรื่องที่ 2 คือเ “พรานชีวิต”แข ณ วังน้อย เอาสมุดที่บันทึกเป็นหลักฐานที่เขียนไว้ให้ดูว่า นวนิยายเรื่อง “พรานชีวิต”ลงในนิตยสารกุลสตรี(คนละฉบับกับนิตยสารกุลสตรีในปัจจุบัน) ฉบับที่ 33 วันที่ 31 มีนาคม 2497 ครั้งไปเยี่ยมที่บ้านในซอยพหลโยธิน 32 นวนิยายเรื่องที่ 3 ตีพิมพ์ในนิตยสารกุลสตรีคือเรื่อง “กำไลเหล็ก” พิมพ์รวมเล่มเมื่อปี 2547 ส่วนนวนิยายเรื่องสุดท้ายคือเรื่อง “ฝันสลาย” เป็นนวนิยายที่มีความยาวที่สุด ประมาณ 100 ตอน
บั้นปลายชีวิตของแข ณ วังน้อย จะขะมักเขม้นกับต้นฉบับทั้งเรื่องสั้นและนวนิยายเก่า ๆ ที่นำมาตรวจทานและแก้ไขใหม่ เพื่อนำไปพิมพ์รวมเล่มใหม่อีกครั้ง...
“มีงานทำอย่างนี้ มันก็สนุกดี มันมีชีวิตชีวา สำหรับการได้รับรางวัลทั้งสองคือรางวัลนราธิปของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยเมื่อ
ปี 2545 และช่อการะเกดเกียรติยศเมื่อปี 2547 แข ณ วังน้อยปลาบปลื้มมาก เธอบอกเล่าความรู้สึกเพียงสั้น ๆ ว่า “รู้สึกดีใจที่ยังมีคนนึกถึง เพราะทิ้งการเขียนไปนานถึงห้าสิบปี แก่ขนาดนี้แล้ว ใครจะคิดว่าจะมีคนมาให้รางวัล”
แม้ว่าณ วันนี้นักเขียนสตรีสูงวัยชาวกรุงเก่าจะจากไปแล้วด้วยวัย 98 ปี เมื่อปี 2558 หากเป็นการจากไปที่เต็มไปความสุขในบั้นปลายชีวิต และได้ฝากคำพูดอันคมคายประโยคหนึ่งไว้เป็นข้อคิดที่ผมยังจำได้ดี...
“คนเราต้องใช้ชีวิตอย่างว่าว ตึงไปบ้าง เราก็ดึงไว้หน่อย บางทีก็ปล่อยให้มันลอยไปตามเรื่องตามราวบ้าง พอมันตกดิน มันก็กระตุก ๆ แล้วก็หยุด ชีวิตคนเรามันก็เป็นเหมือนว่าวนั่นแหละ อย่าไปเคร่งครัดกับมันมาก”
“การศึกษานั้นสร้างสุภาพบุรุษ แต่การอ่าน การมีเพื่อนที่ดี และการไตร่ตรอง จะทำให้เขาสมบูรณ์แบบ”(จอห์น ล็อค)