สถาพร ศรีสัจจัง
มีเอตทัคคะทางการเมืองจำนวนไม่น้อย “ฟันธง” ลงไปว่า ตอนนี้สถานการณ์ทางการเมืองของ นายกฯลุงตู่ของเรากำลังเริ่มเข้าสู่ช่วง “ขาลง” กลุ่มและคนที่กล้าหาญชาญชัยพยากรณ์ชี้ขาดดังว่านั้น นอกจากกลุ่ม “เสียผลประโยชน์”ในการมาถึงของนายกฯลุงตู่โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯผู้นิราศที่ชื่อทักษิณฯทั้งทางตรงและทางอ้อม คือกลุ่มเครือญาติ กลุ่มการเมืองเดียวกัน และบรรดาผู้คนที่คิดและ “เชื่อ”พวกตนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า “แดง”ทั้งหลายแล้ว
ที่น่าสนใจก็คือบรรดาสื่อมวลชน !
สื่อสิ่งพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ที่ทรงอิทธิพลซึ่งจับประเด็นนี้นอกจากสื่อในกลุ่ม “มติชน” และบรรดาทีวี.ช่องแดงๆ ทั้งประเภท “รสนิยมตลาด” และ “รสนิยมปนยาชัน”(ปัญญาชน)แล้ว ที่น่าสนใจมากก็คือกลุ่มสื่อ “ไทยรัฐ”อันทรงอิทธิพลกับชาวบ้านไทยชนิด “เบ้อเริ่มเทิ่ม”
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐอันยิ่งใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้โดยการอุทิศหน้าวิเคราะห์การเมืองให้เต็มหน้า อย่างต่อเนื่อง ทั้งคอลัมน์หลายคอลัมน์ก็ร่วมแจมอย่างครึกครื้นรื่นรมย์
บทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐพุ่งเป้าตรงไปที่ปรากฏการณ์เกี่ยวข้องกับ “ชีวิตส่วนตัว” ของนายกฯลุงตู่เกี่ยวกับ 2 กรณีหลักที่สังคมประจักษ์ เป็น 2 กรณีที่มีเนื้อหายากยิ่งในการปฏิเสธของนายกฯลุ่งตู่ เพราะทั้ง 2 กรณีถูกสร้างขึ้นโดย “บริษัทบริวาร”ของนายกฯลุ่งตู่เอง
ทำให้ยากที่จะตอบคำถามที่ว่า “แล้วรัฐบาลที่มีนายกฯมาจากการรัฐประหารเพราะอ้างว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ “ประชาชน” ก่อให้เกิดการ “โกง” หรือ “คอร์รัปชั่น” และปล่อยให้ญาติบริวารพวกพ้องตนเองแสวงหาผลประโยชน์ ได้อย่างไร?
กรณี “คุณนายน้องสะใภ้” และหลานชายซึ่งเป็นภรรยาและลูกของน้องชายแท้ๆของนายกฯลุงตู่ขอเรากลายเป็นจำเลยสังคมทั้งในกรณีสร้างฝายแล้วขึ้นชื่อตัวเองที่ภาคเหนือ กับการใช้บ้านพักพ่อในค่ายทหารไปจดทะเบียนตั้งบริษัทแล้วไป “รับ”งานเหมาที่เกี่ยวข้องกับกองทัพไทยซึ่งพ่อตัวเองเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมอยู่จึงต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากจริงๆที่นายกฯลุงตู่เราจะนกอ้าง “หลักการ”ร้อยแปดขึ้นมาแย้ง
แม้ว่าเนื้อหาจริงของเรื่องนี้จะเป็นจริงอย่างไรก็ตาม!! เพราะนี้คือปรากฏการณ์แท้ๆของสิ่งที่เรียกว่า “ระบบอุปถัมภ์”ในสังคมไทย! เพราะนี่คือสิ่งที่ “นักการเมือง”ไทยทำมาโดยตลอด จนทำให้ประชาชนไทยคับข้องหมองใจตลอดมา และการมาถึงของนากฯลุงตู่โดยอำนาจที่ชื่อว่าการรัฐประหารทำให้ชาวบ้านร้านช่องเชื่อว่า เที่ยวนี้แหละนายกฯลุงตู่ของเราต้อง “ล้างบาง”การกระทำ
เช่นนั่น
จึงเมื่อเป็นเสียอย่างนี้ ชาวบ้านที่เชียร์นายกฯลุ่งตู่มาแบบสุดจิตสุดใจ เพราะเชื่อว่าท่านจะต้องเป็น “อัศวินม้าขาว”มาปราบ
คนชั่วที่เห็นเพียงแต่ญาติมิตรพวกพ้องมากกว่าเห็นแก่ประเทศชาติที่รอกันมานานแล้วอย่างแน่แท้ จึงต้องถูกกระตุกต่อมเรทติ้งเป็นธรรมดา
ยิ่งเกิดกรณี “งานเลี้ยงรัฐฮาวาย”ของท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่นำคณะเหมาลำเครื่องการบินไทยไปประชุมทางการทหารที่รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีสื่อออนไลน์บางสำนัก(ไม่มีใครยืนยันว่าเชื่อถือได้) เปิดโปงว่า ใช้งบประมาณกันอย่างฟุ่มเฟือย มีผู้ประกาศช่อง 5 คนสวยไปร่วมรายการอย่างไม่จำเป็น กินอาหารด้วยเงินภาษีประชาชนในราคาแพงลิ่ว(มื้อละ 6 แสน) ฯลฯ มาสมทบอีกละลอก ก็ทำให้ภาพ “สีขาว”ของนายกฯลุงตู่ยิ่งเหมือนถูกสาดด้วยสีดำเข้าฉาดใหญ่
เรื่องนี้จึง “ท้าทาย”สามัญสำนึกของนายกฯลุงตู่เป็นอย่างยิ่ง ว่าจะฝ่ามรสุมครั้งนี้ไปได้อย่างไร?
และงานนี้จะเป็นงานพิสูจน์ “กึ๋น”และฝีมือของกลุ่ม “กุนซือ”ของรัฐบาลนี้อีกครั้ง!
เฉพาะตัวนายกฯลุงตู่ เอคตัคคะบางคนบอกว่า “ถ้าเก่งจริงบริสุทธิ์จริง ย่อมสามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้อย่างแน่
นอน”!
เอตทัคคะท่านนั้นบอกย้ำว่า จันท์หอมย่อมต้องเป็นจันท์หอม ยิ่งถูกทุบย่อมต้องยิ่งฟุ้งกลิ่นหอมกระจายไกล จะให้กลายเป็นเหมือนกองอาจมไปได้อย่างไร!!!!!