เสียงอึกทึกที่ดังอยู่หน้าป้อมค่าย ดูจะไม่มีผลในทางจิตวิทยาสำหรับ พี่ใหญ่ อย่าง บิ๊กป้อมพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  มากนัก 

 เพราะแม้เจ้าตัวจะเอ่ยปาก ออกมาในท่วงทำนองที่คล้ายยอมรับสถานการณ์ ดูดส.ส.  ดึงคนจากพรรคพลังประชารัฐ โดย พรรคภูมิใจไทย ถึงขั้นที่บอกกับสื่อว่าถ้าย้ายออกไปกันหมด ก็จะได้ปิดพรรค ก็ตามที 

 แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระดับ ผู้จัดการรัฐบาล ที่มากด้วยบารมีและคอนเนคชั่น  ไม่มีทางที่จะมีแผนการเล่น เพียงแผนเดียว เอาไว้สำหรับ ศึกใหญ่ ทั้งการเลือกตั้ง ไปจนถึงการจัดตั้ง รัฐบาล !

 16 ธ.ค.65 นี้ พรรคภูมิใจไทย จะเปิดที่ทำการพรรค หลังจากที่ปิดเพื่อปรับปรุงกันมานานหลายเดือน พร้อมๆกันนี้ เสี่ยหนู  อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยแกนนำพรรคสีน้ำเงิน จะได้ใช้โอกาสนี้ เปิดตัว สมาชิกใหม่ ที่เพิ่งย้ายมาสังกัด สวมเสื้อพรรคภูมิใจไทย หลังถอดเสื้อตัวเก่าของพรรคเดิมทิ้งไปแล้ว

 โดยงานนี้มีข่าวแจ้งมาก่อนหน้านี้แล้วว่าบรรดา สมาชิกใหม่ จากพรรคอื่น ทั้งพรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง มากมายกว่า 30 ชีวิตกันทีเดียว 
 ทว่าการเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยความคึกคักที่ฟากฝั่งพรรคภูมิใจไทย อาจไม่ได้ส่งผลต่อพล.อ.ประวิตร  เพราะก็เป็นตามที่บิ๊กป้อม บอกกับสื่อไว้ว่า สำหรับพรรคพลังประชารัฐแล้วนั้น มีทั้งคนออกไป และคนที่เข้ามาใหม่ก็ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างการได้ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง หลายสมัย ตัดสินใจออกจากพรรคสร้างอนาคตไทย แล้วมาเป็น แม่ทัพภาคใต้ เพื่ออุดรอยรั่วให้กับพรรค 

 เพื่อชนกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้ประเมินและมั่นใจว่า มีกระแสเป็นต่อ ด้วยมี บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นทั้ง จุดขาย และ จุดแข็ง 

 อย่างไรก็ดีปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ จากนี้อาจมีให้เห็น  นั่นคือการที่ กลุ่มการเมือง เตรียมย้ายออกจากพรรค แต่ย่อมไม่ได้หมายความว่า พล.อ.ประวิตร จะปล่อยให้พรรคพลังประชารัฐ ไปจอดป้ายในสถานะ พรรคฝ่ายค้าน หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า อย่างแน่นอน ! 

 และเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ยังยกคณะทั้งรัฐมนตรี ที่สวมหมวกแกนนำพรรคพลังประชารัฐเดินทางลงจังหวัดกาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด เพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการแก้ปัญหาที่ดินทำกินและการฟื้นฟูแหล่งน้ำ ถือเป็นการลุยงานทั้งการบ้านและการเมืองไปในคราวเดียวกัน 

 ในความเป็นจริงแล้วภารกิจในมือพล.อ.ประวิตร ในการเลือกตั้งครั้งหน้า อาจจะหนักหนาไม่ต่างไปจากเมื่อครั้งที่ทำพรรคพลังประชารัฐ และผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 29 จนสำเร็จมาแล้ว  ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 เพราะรอบนี้ บิ๊กป้อม เองไม่เพียงจะต้องขับเคลื่อนพลังประชารัฐเท่านั้น หากแต่ยังต้องเปิดพรรคเพื่อต้อนรับทุกสายทุกขั้วการเมือง เพราะเป้าหมายของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะได้กี่ที่นั่งก็ตาม แต่ต้องมุ่งหน้าไปสู่การเป็นรัฐบาลเป็นคำตอบสุดท้าย !