แสงไทย เค้าภูไทย เทศกาลรำลึกถึงเหตุการณ์เดือนตุลาคม2514 และ 2519 กำลังจากไปอีกปี กลายเป็นความลางเลือนอยู่ในความทรงจำของคนไทย พลังคัดง้างอำนาจอนาธิปไตยที่มีแรงส่งจากเหตุการณ์ทั้งสองเสื่อมถอย ไร้พลัง มีแต่พลังคนรุ่นใหม่ในกระแสโซเชียลมีเดียเท่านั้นที่จะมาแทนที่ ขณะที่กระบวนการ เซ็ทซีโร่และรีเซ็ทจำแลงในกระบวนการยุติธรรมกำลังเดินหน้าอย่างเนิบๆนิ่มๆ ไร้แรงต้าน ไร้แรงเสียดทานจากฝ่ายการเมือง ที่ถูกจำกัดบทบาทเสียจนแทบหมดสภาพ แต่กลับเกิดแรงสะท้อนกลับจากการเดินสะดุดขาตนเองของฝ่ายกุมอำนาจ โดยไม่คาดคิด ตั้งแต่ เหตุพัวพันผลประโยชน์ทางการของน้องชายนายกฯ มาจน Haweiien Eyes และล่าสุด โจชัว หว่อง ที่พลังโซเชียลมีเดียมีส่วนสร้างและเลี้ยงกระแส สื่อกระแสหลัก ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ ตามไม่ทันสื่อสังคมออนไลน์ ที่ส่งถึงกันที่มีศักยภาพสูง ความถี่แค่ช่วงเสี้ยววินาที วันนี้นักเลงไซเบอร์ ทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลักได้ทั้งหมดแล้ว และดูจะมีอิทธิพลเหนือสื่อกระแสหลักด้วยซ้ำ ถึงขนาดสื่อกระแสหลักต้องนำเอาคลิปวีดิโอ คลิปภาพและข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์มานำเสนอในลักษณะถ่ายทอด หรืออ้างอิง มีข่าวว่าขณะนี้หลายมหาวิทยาลัยเตรียมยุบหรือปิดสาขาวิชาสื่อสารมวลชนและนิเทศศาสตร์กันแล้ว เพราะไม่มีนักศึกษาสมัครเข้าเรียนตามจำนวนเป้าหมาย ทุกวันนี้ แค่มีสามาร์ทโฟนตัวเดียว ก็เป็นนักข่าวได้ จะไปเรียนนิเทศศาสตร์ให้เสียเงิน เสียเวลาเสียโอกาส(เรียนและทำงานในสาขาวิชาชีพอื่นๆ)ทำไม พลังโซเชียลมีเดียขณะนี้จึงเป็นพลังที่กล้าแข็งที่สุด แข็งกว่าม็อบมวลชนนับเป็นแสนๆคนเสียอีก ทำให้สังคมไทยวันนี้ กลายเป็นสังคมรู้เท่าทัน ใครทำอะไรที่ไหน รี้ลับ ซ่อนเร้นอย่างไร นักข่าวสมาร์ทโฟนสอดรู้สอดเห็น นำมาเสนอทั้งหมด สื่อสมัครเล่นเหล่านี้ มีทั้งที่มีคุณภาพและที่เป็นพิษเป็นภัย เป็นวัยรุ่น วัยคะนอง คนแก่ คนหนุ่มคนสาวที่มีการศึกษา นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ปัญญาชน ดร. เถ้าแก่ กรรมกร คนเดินถนน คนเก็บขยะ ทุจริตชน ฯลฯ จึงถ่ายทอดภาพ ถ่ายทอดเหตุการณ์ เสนอความคิดเห็น ได้ทุกแง่ ทุกมุม ทุกระดับปัญญา ฝ่ายปกครองสายอนุรักษ์นิยมในวันนี้ เห็นกันอยู่แล้วว่าตามไม่ทัน เพราะหัวเก่าเกินแก้ ฝ่ายรัฐบาลยามนี้พยายามแทรกแซงกิจกรรมด้านสื่อมวลชน อย่างเช่นการตั้งโฆษกรัฐบาลไปเป็นรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เป็นหรือที่สมัย 14 ตุลาฯเรียกว่ากรมกร๊วก เป็นต้น มีการสอดแทรกความคิด คติทัศน์เข้าไปชำระสมองประชาชนผ่านสื่อต่างๆ ผ่านกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อรูปแบบต่างๆ โดยทำให้มีความน่าเชื่อถือ มีความเป็นวิชาการ มีคุณค่ามีน้ำหนัก อย่างเช่นโพลด้านต่างๆ ที่ใช้เทคนิค และช่องว่างทางวิขาการต่างๆสร้าง “ประชานิยม” จนประชาชนเห็นว่าเป็นรัฐบาลที่เข้ามาด้วยความชอบธรรม ความชอบธรรมนี้ ยังสามารถสืบทอดอำนาจได้อีกด้วย เมื่อสัปดาห์ก่อนมีโพลออกมาโพลหนึ่ง เป็นผลสำรวจความพอใจในรัฐบาลของประชาชน ปรากฏว่า 63.5% ของประชากรสำรวจพอใจในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อันดับ 2 พอใจในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร 11.3% อันดับ 3 พอใจในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 10.7% u อันดับ 4 พอใจในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 5.5% และอันดับ 5 พอใจในรัฐบาลชวน หลีกภัย 4.3% คนตั้งหัวข้อเรื่องและคำถาม ( questionaires) คงไม่ได้คิดว่า รัฐบาลชวนกับรัฐบาลทักษิณ นั้นไม่อยู่ในกระแสปัจจุบันแล้ว แทบจะเรียกว่า โนรีเทิร์น ไปเอามาเปรียบเทียบ ก็เท่ากับไปขุดผีขึ้นมาจากหลุม เฉพาะนายชวนนั้น ไม่ไปไกลนัก เพราะยังอยู่ในพรรค แต่กับทักษิณ เมื่อมีคำถามว่าพอใจหรือไม่ คนตอบก็ต้องคิดย้อนทวนไปถึงยุค 2541-49 ว่าทำอะไรให้เป็นที่พอใจบ้าง ทำอะไรให้เป็นที่ไม่พอใจบ้าง สมัยนั้นประชาชนยกให้การปราบปรามยาเสพติดเป็นผลงานอันดับ 1 ของทักษิณ ซึ่งขณะนี้ประธานาธิบดี โรดรีโก้ ดูแตร์เต้ แห่งฟิลิปปินส์ลอกตำราไปใช้ แต่โหดกว่า เพราะท่านสั่งฆ่าไปแล้วหลายพันศพและประกาศว่าพวกที่พัวพันอยู่ 1.5 ล้านคนนั้น ถ้าไม่เลิกก็จะเก็บให้หมด ผลงานเด่นของรัฐบาลทักษิณอีกด้านคือบัตรทอง 30 บาท แล้วยังมีโอท็อป กองทุนหมู่บ้าน ใช้หนี้เงินกู้มิยาซาว่าที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชวนได้หมด ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟ ไม่ง้อสหรัฐถึงกับประกาศ “อเมริกาไม่ใช่พ่อ” ฯลฯ ขุดเอาทักษิณ ขึ้นมาให้คนไทยรำลึกถึงคุณงามความดีเสียอย่างนั้น ทั้งๆที่ทุกวันนี้พยายามทำให้ภาพของทักษิณเป็นภาพของคอรัปชั่น เป็นภาพผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการทำลายล้างสถาบันกษัตริย์ หากไม่ดูที่สัดส่วนคะแนน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นอันดับ 1 ทักษิณ เป็นอันดับ 2 คิดในเชิงตรรกะ ถ้าไม่มีพล.อ.ประยุทธ์ หรือพล.อ.ประยุทธ์ ตกกระแส คนที่จะเป็นอันดับ 1 ก็คือทักษิณ ไม่รู้ว่าโพลนี้ หวังดี หรือประสงค์ร้ายต่อรัฐบาลคสช.กันแน่ อีกโพลหนึ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ “โพลมองข้ามช็อตสู่โหมดเลือกตั้งวันนี้ชาวบ้านเลือกใคร” ฟังชื่อแล้วเหมือนพาดหัวข่าวหรือชื่อเรื่องบทความ เพราะไม่เป็นภาษาวิชาการ ผลจึงออกมาราวกับหลับตาเห็น คือเลือก พลเอกประยุทธ์ อันดับ 1 อีกนั่นเอง คือ 40.1% พรรคเพื่อไทย 22 % พรรคประชาธิปัตย์ 17.4% ทำนองเดียวกับโพลแรกที่สำรวจความพอใจในรัฐบาล สะท้อนกลับมาว่า ถ้าวันนี้ไม่มีพลเอกประยุทธ์ พรรคที่จะเป็นอันดับ 1 เป็นใคร ? ก็เหมือนกับ พอใจรัฐบาลทักษิณ เป็นอันดับ 2 รองจากพลเอกประยุทธ์ ทั้งๆที่คะแนนทิ้งกันตั้ง 52.2 แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับกันว่าเป็นอันดับ2 แต่โพลหลังนี้ไม่ค่อยห่างนัก คือแค่ 18.1 เท่านั้น จึงถ้ายกประยุทธ์ ออกไปเสียก็จะเหลือเพื่อไทยอันดับ 1 ประชาธิปัตย์อันดับ 2 ที่เหลือ 20.5% เลือกภูมิไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา ฯลฯ เป็นพรรคพระอันดับทั้งนั้น มีไว้ต่อรองเวลาตั้งรัฐบาลเท่านั้น ถ้าเช่นนั้น ต้องให้ประยุทธ์อยู่ต่อโดยมีพรรคการเมืองให้เป็นฐาน ก็ลองดู แต่อย่าลืมนะว่าตัวเองไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ ถอดหัวทศกรรฐ์ออกเมื่อใด ก็ข้าราชการบำนาญดีๆนี่เอง แต่ถ้าคิดจะเล่นการเมืองจริงๆ ต้องไปเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ลูกพี่เก่าก็เลื่อนขึ้นมาเป็นประธานพรรค ได้เป็น ส.ส.ขึ้นมา กลไก ส.ว.ที่วางไว้ก็จะทำงานผลักดันขึ้นมาเป็นนายกฯเอง .ไม่ต้องถูกครหาว่าเป็นนายกฯด้วยวิธีการพิเศษอันขาดความสง่างามอย่างเช่นทุกวันนี้