ยูร กมลเสรีรัตน์
สำนวนในการเขียนของนักเขียนหญิงระดับแถวหน้าผู้นี้ ที่เธอบอกว่าเป็นสำนวนห้าวเหมือนนักเขียนชายนั้น ถ้าใครรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ก็ต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน ใครจะเชื่อเล่าว่าทั้งที่เธอเป็นผู้หญิง แต่นวนิยายที่เธอชอบอ่านนั้น ล้วนเป็นแนวบู๊ โลดโผน
“รสนิยมการอ่านไม่ดีเท่าไหร่ ชอบอ่านเรื่องบู๊เป็นชีวิตจิตใจ”เธอยอมรับในข้อนี้
โบตั๋นชอบอ่านเรื่องบู๊ ขนาดที่ว่านวนิยายกองเป็นตั้ง ๆ หลายสิบเล่ม เธออ่านจบมาหลายเรื่องแล้ว โดยเฉพาะนวนิยายกำลังภายใน
“อ่านเพื่อความบันเทิง กำลังภายในชอบเรื่อง มังกรหยก แปดเทพอสูรมังกรฟ้านี่ชอบมาก เพชรพระอุมา 50 เล่มก็อ่านจบมาแล้ว”
แต่ไม่ใช่ว่าเป็นนวนิยายกำลังภายในแล้ว เธอชอบหมด จะเลือกเป็นบางเรื่องที่ชอบและใครเป็นคนเขียนด้วย...
“ จะชอบของกิมย้ง บู๊หน่อย แต่มีเนื้อเรื่องค่อนข้างนุ่มนวลกว่า ยอมรับว่าไม่ค่อยชอบโกวเล้งเหมือนคนอื่น เอาแต่เล่นสำนวน โกวเล้งจะเล่นสำนวนมาก ยืดยาด จนบางทีรำคาญ จะชอบกิมย้งมากกว่า ”
โบตั๋น ในบทบาทของสุภา สิริสิงห เคยทำงานที่หนังสือชัยพฤกษ์ของบริษัท สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช ยุคอนุช อาภาภิรม(ผู้เขียน “โลกของหนูแหวน”) เป็นบรรณาธิการ แล้วลาออกไปทำงานที่สตรีสาร ดูแลหน้าสตรีสาร ภาคพิเศษ ซึ่งแทรกอยู่ตรงกลางเล่ม ให้เด็กและเยาวชนได้อ่าน เหมือนเป็นของแถมพิเศษ
จากประสบการณ์ในการทำงานทั้งสองแห่งนี้เอง นำไปสู่การตั้งสำนักพิมพ์สุวีริยาสาส์นหรือรู้จักกันในนามสำนักพิมพ์ชมรมเด็กกับสามีคือวิริยะ สิริสิงห(ล่วงลับแล้ว) เจ้าของนามปากกา “โอภาส อาจอารมณ์” นักเขียนและนักทำหนังสือเด็กที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง โดยเริ่มจากเงินทุนที่ยืมแม่แปดพันบาท ใช้บ้านเป็นสำนักพิมพ์
จากชื่อเสียงในนามโอภาส อาจอารมณ์ ซึ่งคุมคอลัมน์เกี่ยวกับเด็กที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐมาก่อน ทำให้ชื่อของชมรมเด็กเป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่คนอ่าน ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ครู-อาจารย์
และบรรณารักษ์ จึงทำให้ชมรมเด็กเติบโตตามลำดับ โดยวิริยะ สิริสิงเป็นคนดูแล ส่วนโบตั๋นทำหน้าที่เขียนหนังสืออยู่ชั้นบนสุดของสำนักพิมพ์
นอกจากนวนิยายของโบตั๋นจะนำมาพิมพ์รวมเล่มเองแล้ว เธอยังเขียนและแปลเรื่องสำหรับเด็กป้อนให้สำนักพิมพ์ของตัวเอง จากสำนักพิมพ์ที่เป็นตึกแถวเล็ก ๆ คูหาเดียวในซอยประชาอุทิศ บางมด ปัจจุบันสำนักพิมพ์ชมรมเด็กเจริญรุ่งเรือง มีตึกใหม่ใหญ่โตตั้งห่างจากที่เดิมเลยเข้าไปข้างในอีก แถวทุ่งคุรุ ย่านบางมด
หลังจากนวนิยาย เรื่อง “ความสมหวังของแก้ว”ลงสตรีสาร เธอก็หยุดเขียนไปอีกเป็นเวลานานหลายปี จึงกลับมาเขียนนวนิยายเรื่อง “แวววัน” ซึ่งใช้ฉากบ้านสวน ไม่ใช่นวนิยายอ่านสนุก แต่เป็นนวนิยายที่มีคุณค่า ให้ข้อคิดและทัศนคติหลายอย่าง นวนิยายทั้งสองเรื่องนี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
ชื่อของโบตั๋นหายไปจากนิตยสารสตรีสาร ซึ่งเป็นสนามประจำของเธอช่วงหนึ่ง จึงกลับมาอีกครั้งด้วยนวนิยายเรื่อง “ไผ่ต้องลม” ซึ่งเป็นบันทึกของคนจีนคนหนึ่งมอบให้เธอเขียน นวนิยายเรื่องต่อมาคือ“ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด”นวนิยายเรื่องนี้คนอ่านสตรีสารให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น เมื่อพิมพ์รวมเล่ม ก็ได้รับรางวัลงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และดังกระฉ่อน เมื่อนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ช่อง 7
แล้วโบตั๋นก็ได้รับเสียงตอบรับจากผู้อ่านอีกครั้ง เมื่อนวนิยายเรื่องต่อมาคือ “ทองเนื้อเก้า”ตีพิมพ์ในสตรีสาร เธอเล่าว่านวนิยายเรื่องนี้มีจุดกระทบเพียงนิดเดียว ตอนเดินออกไปปากซอยแถวบ้านในตอนเช้า เห็นเณรออกมาบิณฑบาต หน้าตาแจ่มใส มีสง่าราศี
“เขาดูดีมาก ตอนเขายังไม่บวช หน้าตาเศร้า อมทุกข์ไม่มีความสุข เรารู้ว่าแม่เขาสำส่อนแบบอีลำยองนั่นแหละ ลูกพ่อไหนต่อพ่อไหนล่อกันให้นัวเชียว ไปเห็นแค่นั้นเอง เราดูแล้ว เรื่องนี้น่าเขียน ก็เอามาแต่ง แต่งเติมจินตนาการเข้าไป ผูกเรื่องเข้าไปให้สนุก ให้คนติดตาม”
โบตั๋นเป็นนักเขียนหญิงที่เขียนเรื่องสมจริง ไม่ใช่เรื่องพาฝันหรือเรื่องโรแมนติก เธอยอมรับว่าไม่ถนัดเขียนเรื่องโรแมนติกหรือเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋ม เธอบอกว่า ถ้าจะอ่านเรื่องของโบตั๋นจะต้องทำใจ เพราะเป็นเรื่องสมจริงที่ค่อนข้างโหดในสังคม ซึ่งนวนิยายแนวโศกนาฏกรรมจะประทับใจนานกว่าแนวสุขนาฏกรรม ดังที่เธอบอกเล่าว่า...
“ เขียนเรื่องหนัก ๆ ต้องเขียนให้มันถึงแก่น เรื่องที่มันหดหู่สุดขีด คนอ่านจะจำได้ เขียนให้เขาอ่านแล้วสะเทือนใจสุดขีด คนที่ชอบเรื่องแนวนี้ เขาจะอ่านเอง”
เธอขยายความต่อว่าคนอ่านมีหลากหลาย บางคนไม่ชอบอ่านเรื่องจุ๋มจิ๋ม โรแมนติก แต่ชอบอ่านเรื่องหนัก ๆ หดหู่ สำหรับเรื่องหดหู่ที่สุดของโบตั๋น คงจะเป็นนวนิยายเรื่อง“เหยื่อ” ซึ่งการที่นักเขียนหญิงผู้นี้เขียนเรื่องหนัก ๆ ให้คนอ่านติดตามอ่านได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าเธอมีความสามารถสูง
นักเขียนหญิงระดับแถวหน้าผู้นี้ออกตัวว่า เธอไม่ใช่นักเขียนมีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงขั้นผลงานขายดิบขายดี ผมว่าเธอถ่อมตัวมากกว่า ผมเคยไปเยี่ยมและพูดคุยกับวิริยะ สิริสิงห ค่อนข้างบ่อย จึงพอรู้ว่านวนิยายเรื่องไหนขายดี อย่าง “สุดแต่ใจจะไขว่คว้า” ยอดพิมพ์สูงถึง 5 หมื่นเล่ม “ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด” 8 หมื่นเล่ม เพราะเป็นหนังสือนอกเวลาด้วย นวนิยายของโบตั๋นทุกเรื่องพิมพ์ครั้งแรก เริ่มต้นที่ 6 พันเล่ม ไม่ใช่ 3 พันเล่มอย่างที่พิมพ์กันทั่วไป
ผลงานของโบตั๋น โดยเฉพาะนิยาย ส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักของคนอ่านได้แก่ จดหมายจากเมืองไทย แวววัน ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด ทองเนื้อเก้า เหยื่อ บัวแล้งน้ำ กว่าจะรู้เดียงสา ตะวันชิงพลบ สุดแต่ใจจะไขว่คว้า ก่อนสายหมอกเลือน สวนสวรรค์ และไผ่ต้องลม ฯลฯ 5 เรื่องหลังได้รับรางวัลในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ
ส่วนผลงานเรื่องสั้นมีพิมพ์รวมเล่มเพียงไม่กี่เล่ม คือ แก้วสามดวง คืนเหงา รักวัวให้ผูก รักลูกให้... และ ฟ้าชอุ่มฝน นอกนั้นเป็นเรื่องสำหรับเด็กที่แปลและเรียบเรียงมาจากต่างประเทศ ใช้นามปากกา “ปิยตา วนนันท์”และ “ปิยตา”ได้แก่ ลูกไก่แสนสวย เค้าโมงสู้โลก บ้านน้อยในโพรงไม้ ตะเภานักโม้ นกบินไม่ได้ ระแวงไพร เป็นอาทิ
โบตั๋นเขียนนวนิยายให้สตรีเป็นสนามหลัก เพราะมีความผูกพันกันเหนียวแน่นตั้งแต่ผ่านทำงานที่นี่ เธอจะรับเขียนนวนิยายให้นิตยสารฉบับอื่นที่มาติดต่อ โดยรวมกับสตรีสารแล้วไม่เกิน 3 ฉบับและไม่ชอบเขียนยาวยืดยาด เธอเปิดใจเกี่ยวกับผลงานของตัวเองว่า...
“ยังไม่พอใจผลงานของตัวเองแม้แต่เรื่องเดียว มีเรื่องที่ค่อนข้างพอใจอยู่บ้าง ความสมหวังของแก้ว กว่าจะรู้เดียงสา ทองเนื้อเก้า ก่อนสายหมอกเลือน”
ก่อนหันหลังให้วงการน้ำหมึก โบตั๋นเขียนวนิยายที่นิตยสารขวัญเรือนเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เธอคิดไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งภาระทางครอบครัวลดลง อยากจะเขียนเรื่องที่ตัวเองพอใจสักเรื่องหนึ่ง เพราะช่วงนั้นเมื่อประมาณปี 2547 ต้องดูแลสำนักพิมพ์ช่วยสามีที่ป่วยเกือบเต็มตัว
จากการสร้างสรรค์ผลงานมาเป็นเวลายาวนาน โบตั่นได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เมื่อปี 2542นั้น และได้รับรางวัลนราธิปจากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2564 ครั้งที่ได้รับยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ เธอกล่าวออกตัวอยู่บ่อยครั้งที่ได้รับเชิญว่า
“การได้ศิลปินแห่งชาติ มันดูยิ่งใหญ่เกินตัว ไม่คิดว่าตัวเองเป็นศิลปิน เป็นเพียงคนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง ไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถขนาดนั้น”
โบตั๋นมีความสามารถหรือไม่ สิ่งที่เป็นประจักษ์แก่สายตาของคนอ่านก็คือ ผลงานที่เธอสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นเวลายาวนาน ล้วนเป็นผลงานที่โดดเด่นและมีคุณค่าแก่การอ่าน
โบตั๋นวางปากกาเป็นเวลา 5-6 ปีแล้ว นวนิยายเรื่องสุดท้ายคือ “เดนมนุษย์”ตีพิมพ์ในนิตยสารขวัญเรือนและไม่ได้เขียนหนังสืออีกเลย เพราะสุขภาพไม่อำนวย รวมทั้งวางมือจากสำนักพิมพ์ของตัวเอง ให้ลูกสาวคนโต-สุวีริยา สิริสิงห เป็นผู้สืบทอดต่อ
ในวัย 78 ปีของนามปากกา “โบตั๋น” คือช่วงเวลาของการพักผ่อนและมีความสุขกับลูกหลาน หลังจากคร่ำเคร่งและเหน็ดเหนื่อยกับการเขียนมาตลอดชีวิต
“ถ้าไม่ประมาท ก็จะไม่เกิดความเสื่อม”(สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)