ทวี สุรฤทธิกุล

พรรคแนวอนุรักษ์นิยมน่าจะขายได้อีกนาน เพราะคนไทยยังมีแนวคิดวนเวียนอยู่กับผู้นำแบบเดิม ๆ โดยเฉพาะพวกนักการเมืองที่เราเลือกตั้งเข้าไป

หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 หลายคนคาดหวังว่าการเมืองไทยน่าจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในยุคนั้นที่คิดว่า เมื่อไล่ทหารออกไปไม่ให้มีบทบาททางการเมืองได้แล้ว คนไทยก็จะได้อาศัยพรรคการเมืองนั่นแหละมาขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยต่อไป แต่สภาพการณ์กลับยิ่งแย่ลงไปอีก เพราะมีการใช้เสรีภาพกันอย่างฟุ้งเฟ้อ สิ่งแรกก็คือการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองจำนวนมาก โดยเฉพาะพรรคในแนวสังคมนิยม ซึ่งที่ควรเป็นควรจะต้องรวมกลุ่มกันสู้กับพรรคแนวอนุรักษ์นิยมให้เด็ดขาด แต่พอตั้งขึ้นมาหลายพรรคก็ทำให้อ่อนกำลังไปในทันที เพราะในการเลือกตั้งต้องแข่งขันเอาชนะกัน เช่นเดียวกันกับพรรคแนวอนุรักษ์นิยมที่ก็มีเกิดขึ้นใหม่มาอีกหลายพรรค และมีนโยบายที่กระจัดกระจายไม่เด่นชัด จึงดูอ่อนแอเช่นกัน

หลังการเลือกตั้งในตอนต้นปี 2518 พรรคแนวอนุรักษ์นิยมครองเสียงข้างมากในสภา แต่ก็มีการแบ่งแยกกันอยู่ ทำให้การตั้งรัฐบาลมีปัญหา ต้องมีการฟอร์มรัฐบาลถึง 2 รอบ คือรอบแรกมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ แต่พอมาแถลงนโยบายให้สภารับรองก็ถูกโหวตให้แพ้ไป จึงต้องมาแข่งกันอีกในรอบสอง ทีนี้พรรคกอื่น ๆ ยอมที่จะไปเชิญหัวหน้าพรรคกิจสังคม คือ ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่มี ส.ส.เพียง 18 คนให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงสามารถตั้งรัฐบาลได้ แต่ก็ต้องประสบปัญหาวุ่นวายเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นจากพรรคการเมืองจำนวนมาก ซึ่งสื่อมวลชนสมัยนั้นเรียกรัฐบาลนี้ว่า “รัฐบาลร้อยพ่อพันแม่”

อีกสิ่งหนึ่งก็คือความวุ่นวายจากการเดินขบวนและประท้วงจากประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากการระเบิดออกมาของการถูกกดขี่ภายใต้ระบอบเผด็จการนานนับสิบ ๆ ปีก่อนหน้านี้ ทำให้รัฐบาลต้องรับศึกหนักทั้งในและนอกสภา ที่สุดก่อนสิ้นปี 2518 ก็มีข่าวว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลไปสมคบคิดกับทหารเพื่อล้มรัฐบาลของตนเอง ดังนั้นพอเปลี่ยน พ.ศ.ใหม่ได้ไม่กี่วัน ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ประกาศยุบสภา และมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนเมษายน 2519 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ประสบปัญหาเดียวกัน คือคุม ส.ส.ไม่ได้ นายกรัฐมนตรีตอนนั้นคือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ถูกตั้งฉายาว่า “ฤาษีเลี้ยงลิง” พร้อมกันนั้นก็เกิดการเดินขบวนและประท้วงของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ฝ่ายทหารอ้างว่ามีคอมมิวนิสต์เข้ามาแทรกแซง นำมาซึ่งการรุมล้อมทำร้ายประชาชนและนักศึกษาที่ชุมนุมกันในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แล้วทหารก็ยึดอำนาจอีกครั้งในเย็นวันนั้น

ช่วงนั้นผู้เขียนเข้าเป็นนิสิตที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่เคยเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 อันเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น ได้บรรยายในชั้นเรียนแสดงความไม่พอใจต่อการทำรัฐประหารในครั้งนั้นอย่างรุนแรง รวมถึงที่ได้วิจารณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 ที่ทหารได้กำกับการร่างว่าเป็น “เสื้อคลุมเผด็จการ” ที่แสดงถึงความพยายามที่จะสืบทอดอำนาจของทหารนั้นไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉพาะข้อบัญญัติที่จะไม่ให้มีพรรคการเมือง ที่ทหารอ้างว่า “ชอบก่อความวุ่นวาย”

ดังนั้นหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2522 ผลก็เป็นไปอย่างที่ทหารต้องการ กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ได้ ส.ส.เข้ามาอย่างกระจัดกระจาย แผนการของทหารก็คือถ้าใครอยากเป็นรัฐบาลก็ขอให้เสนอชื่อและรับรองพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทุกอย่างก็เป็นตามแผนการ กระนั้นก็ยังไม่หมดปัญหา แม้ว่ารัฐบาลจะคุม ส.ส.ส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่ในวุฒิสภากลับมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น คือสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ที่ก็คือทหารและข้าราชการทั้งหลายนั้น ไม่ได้สนับสนุนพลเอกเกรียงศักดิ์อีกต่อไป แต่ไปหนุนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มีบารมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่สุดพลเอกเปรมก็ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนพลเอกเกรียงศักดิ์ ซึ่งสื่อมวลชนบางคนเรียกปรากฏการณ์ครั้งนั้นว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” โดยมีพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลเป็นผู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พรรคการเมืองพรรคนี้มีชื่อว่า “พรรควุฒิสภา” นั่นเอง

วุฒิสภานั้นมีขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยโดยรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2489 แต่แรกเรียกว่า “พฤติสภา” แปลว่า “สภาของผู้มีอายุ” เพราะจะมีอายุมากกว่า ส.ส. ที่กำหนดอายุอย่างต่ำไว้ 25 ปี แต่สมาชิกพฤติสภาต้องมีอายุ 35 ปีขึ้นไป หลักการคือเพื่อให้มาเป็น “สภาพี่เลี้ยง” ทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย เพื่อให้เกิดความรอบคอบ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะต้องมาถูกรัฐประหารและล้มเกไปใน พ.ศ. 2490 แต่เมื่อมีสภาครั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ก็เปลี่ยนเป็นวุฒิสภา และเริ่มใช้วุฒิสภานั้นค้ำจุนรัฐบาล จนกลายเป็นประเพณีแบบนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะวุฒิสภาที่ทหารแต่งตั้ง หรือใช้กระบวนการตามที่ผู้มีอำนาจบงการ (เช่น วุฒิสภาในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 นี้ด้วย) นักรัฐศาสตร์ไทยบางคนจึงเรียกวุฒิสภานี้ว่า “พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุด” ดังกล่าว

กล่าวอย่างรวบลัดก็คือ พรรคการเมืองไทยจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ที่บังเอิญประเทศไทยก็จะมีการเลือกตั้งสลับกับการรัฐประหารอยู่เป็นปกติ จนถึงมีการเรียกระบอบที่วนเวียนไปมาในแบบนี้ว่า “วงจรอุบาทว์” โดยความอุบาทว์นั้นก็เป็นด้วยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็ไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้แต่อย่างใด ซ้ำร้ายยังไปสมคบหรือสนับสนุนผู้มีอำนาจ ซึ่งก็คือทหาร กระทำย่ำยีกับระบอบประชาธิปไตยนั้นด้วย จนกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองไทยอีกอย่างหนึ่งแล้วว่า “ถ้าอยากมีกินมีใช้ก็ให้ได้เป็นรัฐบาล และถ้าอยากอยู่นาน ๆ ก็ต้องให้ทหารปกครอง”

ตอนที่มีการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ผู้เขียนในฐานะประธานอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นและประชาสัมพันธ์ ของสภาร่างรัฐธรรมนูญประจำจังหวัดนนทบุรี ได้ร่วมกับคณะอนุกรรมการท่านอื่น ๆ ออกรับฟังและรวบรวมความคิดเห็นจากประชาชน มีประเด็นหนึ่งที่ประชาชนจำหนวนหนึ่งเสนอให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ คือประเทศไทยไม่ควรมีระบบพรรคการเมือง เพราะประเทศไทยไม่ได้มีวัฒนธรรมทางการเมืองที่สอดคล้องที่จะให้มีพรรคการเมืองแบบฝรั่ง เหตุผลก็คือ พรรคการเมืองที่ถือกำเนิดในประเทศตะวันตกหรือฝรั่งนั่น เขามีวัฒนธรรมของการขันอาสา (Voluntary) ที่ต้องทำงานอย่างเสียสละ และมีความเป็นน้ำใจนักกีฬา คือรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย ที่สำคัญคือต้องรับใช้ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งคือประชาชน อย่างเช่นที่นักการเมืองของประเทศอังกฤษก่อเกิดจากระบบ Champion คือการอาสาไปเป็นตัวแทนในการใช้อำนาจนั้นให้กับประชาชน เหมือนนักรบที่อาสาไปสู้ศึกกระนั้น แต่ของประเทศไทยกลับกลายว่าไปรับใช้ผู้มีอำนาจ จึงไม่ควรที่จะมีพรรคการเมือง เพราะท้ายที่สุดนั่นพรรคการเมืองก็จะถูกครอบงำโดยผู้มีอำนาจ หาได้มารับใช้ประชาชนหรืออยู่ใต้การกำกับของประชาชน ตามเจตนารมณ์ของระบบนี้แต่อย่างใดไม่

นี่ถ้าเลิกมีพรรคการเมืองมาตั้งแต่ พ.ศ. 2540 ป่านนี้การเมืองไทยน่าจะเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือไปแล้ว