ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ดูเหมือนว่าจะนับถอยหลังไปสู่ระเบิดเวลา โดยเฉพาะการบ่มเพาะความเกลียดชังทางการเมืองของ 2 ขั้ว 2 ฝ่าย ที่อาจพาประเทศไปสู่กับดักที่อันตราย การแสดงความคิดความเห็น และการแสดงออกต่างๆ จำเป็นที่จะต้องยึดหลักเสรีภาพที่แท้จริง ดังนั้นไม่ว่าจะคิดอ่านหรือทำการสิ่งใด จึงพึงทบทวนหลักการของเสรีภาพ

จึงขอหยิบยกเอาข้อเขียนตอนหนึ่งของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ ปยุตโต) จากหนังสือประชาธิปไตยจริงแท้คือแค่ไหน มาเผยแพร่อีกครั้ง ดังต่อไปนี้ 

“การปกครองแบบประชาธิปไตย คือการปกครองของประชาชนที่แต่ละคนปกครองตนเองได้ เมื่อแต่ละคนปกครองตัวเองได้ดีแล้ว ก็มาช่วยกันปกครองร่วมกัน ก็เป็นการปกครองของประชาชนที่ประชาชนปกครองกันเอง ตรงนี้สำคัญ คือเราจะต้องพัฒนาคนให้สามารถปกครองตนเองได้ ถ้าไม่สามารถปกครองตนเองได้แล้ว การที่จะมาร่วมกันปกครองประเทศชาติที่รวมกันอยู่ ก็เป็นไปด้วยดีไม่ได้ จะยกตัวอย่างข้อหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นหลักของการปกครองตนเอง ในการปกครองแบบประชาธิปไตยนี้ เรามีหลักการสำคัญอย่างหนึ่งที่เรียกเสรีภาพ และเสรีภาพนั้น ก็มีความหมายของมันที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องชัดเจน

เสรีภาพ คืออะไร ความหมายเบื้องต้นตามตัวอักษร ก็คือ ความเป็นอิสระ ไม่มีอะไรมากัดกั้นจำกัด ตามความหมายนี้ คนจำนวนมากจะมองว่า เสรีภาพคือ การทำได้ตามใจตัว หรือว่า เสรีภาพคือการทำได้ตามชอบใจคนจำนวนมากเข้าใจว่าอย่างนี้ ในเมืองไทยนั้นคิดว่าคนไม่น้อยเลยเข้าใจอย่างนี้ แต่ขอให้โยมญาติมิตรพิจารณาว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเสรีภาพคือ การทำได้อย่างที่ใจตัวชอบ คนที่มีความเข้าใจแค่นี้ จะปกครองตนเองได้ไหม คนที่คิดว่า เสรีภาพคือ การทำได้ตามชอบใจ ปกครองตัวเองไม่ได้แน่ เพราะอะไร ก็จะเอาอย่างใจตัวเอง ถึงเวลาที่ควรจะเรียนหนังสือหรือทำงาน แต่ขี้เกียจ อยากจะนอน ก็ไปนอนเสีย ก็พาชีวิตของตัวไปไม่รอด วางกฎจราจรกันไว้ แต่ก็ทำตามใจ ไม่เอาตามกฎ รถก็ติดขัด และเกิดอุบัติเหตุกันวุ่น คนที่เอาอะไรแน่ไม่ได้ จะพาสังคมให้พัฒนาไปดีไม่ได้ อย่างนี้ก็พอเห็นกันได้ง่ายว่า คนที่เข้าใจเสรีภาพในความหมายอย่างนี้ จะปกครองกันเองให้ดีไม่ได้ ประชาธิปไตยไม่สำเร็จ ไม่ว่าในประเทศไหนๆ แม้แต่ประเทศที่ว่ามีเสรีภาพมากที่สุด ก็ยอมให้มีเสรีภาพแบบทำตามชอบใจไม่ได้

หลักทั่วไปอย่างหนึ่งก็คือ ให้เสรีภาพในทางสร้างสรรค์ ทำสิ่งที่ดี และห้ามเสรีภาพในทางทำลาย ทำความชั่วเสียหาย เช่น จะค้นคว้า หาความรู้ได้เสรี แต่จะกินเหล้าเสรีไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็จึงมีคำจำกัดความหรือการให้ความหมายอีกอย่างหนึ่งของเสรีภาพ ซึ่งนิยมหรือชอบพูดกันมาก คือ บอกว่า เสรีภาพ หมายถึง ความมีสิทธิที่จะพูดได้โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น หรือว่า พูดได้ ทำได้ ภายใต้เงื่อนไข ข้อกำหนด หรือความคุ้มครองของกฎหมาย พูดง่ายๆ ว่า เสรีภาพในขอบเขต อย่างนี้ก็ไม่ใช่เป็นความหมายของตัวเสรีภาพเอง เพียงแต่บอกให้รู้ว่า เสรีภาพต้องมีขอบเขตเท่านั้นเอง ยังไม่ได้บอกให้รู้ถึงตัวเสรีภาพ คนที่พูดอย่างนี้ บางทีก็ยังไม่เข้าใจเสรีภาพในความหมายว่า เป็นการทำได้ตามชอบใจเหมือนกกัน เพียงแต่ว่าให้การทำได้ตามชอบใจนั้น อยู่ในขอบเขต เมื่อมีขอบเขต ก็คือ ยังถูกจำกัด เมื่อยังถูกจำกัด ก็ยังไม่เสรีจริง เมื่อคิดกันอยู่แค่นั้น ก็ยังไม่เข้าถึงความหมายเสรีภาพ”