สถาพร ศรีสัจจัง บางใครในวงสภากาแฟบางวงที่ฟังว่าลึกๆแล้วเป็น “ขาเชียร์” นายกฯ ลุงตู่ของเรามากกว่าที่จะเป็น “ขาขัด” พักนี้ดูจะต้องถอนหายใจกันแรงๆ และบ่อยๆขึ้น ค่าที่ปัญหาเรื่องราวดูเหมือนจะสุมรุมนายกฯลุงตู่ ที่ตนและกลุ่มตั้งใจจะเชียร์ยกขึ้นเป็น “ไอดอล” แบบไม่รู้หยุดรู้หย่อน เพราะนอกจากจะถูกชาวกลุ่มที่ใช้สัญลักษณ์ “แดง” ทั้งหลาย ทั้งที่อยู่ในรูปช่องวิทยุ ทีวี นักกิจกรรมสังคม(ทั้งในถนน นอกถนน) นักการเมือง หรือ ฯลฯ “รุก” อย่างหนักในหลายรูปแบบแล้ว เรื่องของ “บริษัทบริวารใกล้ตัว” ทั้งคนในหมู่เครือญาติ และหมู่วงการทหาร ก็ดูเหมือนจะก่อเหตุก่อคดีให้ต้องตอบคำถามสื่อและสังคมให้เป็นที่รำคาญใจถี่ขึ้นๆ เอาแค่เรื่อง “น้องชายสุดเลิฟ” คือ “บิ๊กปรีชา” คนเดียวก็แทบจุกแล้ว ค่าที่ทั้งลูกทั้งเมียของท่าน “สำแดงบารมี” ให้สังคมเห็นโต้งๆว่า “เกาะกระแสลุงตู่” ของชาวสภากาแฟอย่างไร!!            มาเจอเรื่อง “ฮาวายรำลึก” กรณี “ประชุม 20 ล้าน” ของ “พี่เอื้อยแห่งบูรพาพยัฆ” คือท่านพล.อ.ประวิตรฯเข้าอีก ก็ต้องเรียกว่าแทบจุกกลางกระดานเอาทีเดียว!            ที่จริงหลังผ่านฉลุยเรื่องประชามติรัฐธรรมนูญใหม่มาแล้ว ใครๆก็ว่านายกฯลุงตู่ของเราฉายรังสีโหงวเฮ้งรัฐบุรุษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำอะไรก็ดูกระฉับกระเฉงมั่นใจ ยิ่งไปปรากฏตัวให้เห็นอย่างสง่างามในเวทีโลกอย่างบนเวทีสหประชาชาติได้อย่างมีระเบียบเรียบร้อยไม่มีเสียรังวัดด้วยแล้ว บรรดาขาเชียร์ในสภากาแฟทั้งหลายก็ยิ่งล้วนโล่งใจ เสียงจากสภากาแฟเน้นย้ำเชิงวิเคราะห์ให้ได้ยินดังๆมาว่า เรื่องบริษัทบริวาร ทั้งเรื่องพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน ทั้งเพื่อนพ้องน้องพี่ นี่แหละที่เป็นเรื่อง “ข้อจำกัดทางประวัติศาสตร์” (วัฒนธรรม)ที่ยากจะหลีกเลี่ยงเรื่องหนึ่งของสังคมไทย ใครที่ข้ามเรื่องนี้ไม่พ้นหรือดูเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆง่ายๆเสียรังวัดกันมานักต่อนักแล้ว ก็เพราะเรื่องข้ามระบบครอบครัวและ “ระบบอุปถัมภ์” ไม่พ้นไม่ใช่หรือ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ “อัศวินคลื่นลูกที่สาม” แห่งโลกยุคดิจิตอลที่เป็น “เจ้าของพรรคการเมือง” พรรคใหญ่พรรคหนึ่งของไทยเราต้องเด้งกลายไปเป็น “นายกฯผู้นิราศ” อยู่ในปัจจุบัน!!           อย่างนี้แหละที่นักคิดทางสังคมบางสกุลของโลกระบุเรียกไว้ว่าเป็น “ข้อจำกัดทางประวัติศาสตร์” ที่ “นักปฏิวัติ” และนักยุทธศาสตร์ทางการเมืองทั้งหลายต้องสำเหนียกให้ลึกซึ้ง เพราะเป็น “กับดัก” ที่มักก่อ “ปัญหาที่คาดไม่ถึง” สำคัญยิ่ง           แต่บางใครในสภากาแกก็เปล่งความคิดชี้ขาดอีกนั่นแหละว่า เรื่องนี้นายกฯลุงตู่ของพวกเขาต้องข้ามพ้นอย่างแน่นอน! ขณะที่บางใครจุดประเด็นใหม่เกี่ยวกับเรื่อง “สุดฮ๊อต” คือเรื่องการแต่งตั้ง “รัฐมนตรีส่วนหน้า” ให้มาช่วยนายกฯลุงตู่รับผิดชอบเรื่อง “ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนาคใต้” ในทำนองว่า เห็นรายชื่อที่แพลมๆออกมาแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง? เงียบแบบดูท่าทีเพราะกลัวเสียเชิงกันสักพัก เสียงวิจารณ์แบบเอาจริงเอาจังก็หนักแน่นขึ้นในทำนองว่า ดูรายชื่อแล้วสะท้อน “วิธีคิดแบบคสช.” ได้ดีแท้ เพราะเห็นมีแต่ “กลุ่มทหารและข้าราชการเกษียณ” !           บางใครที่เป็นขาเก่าของวงลากเข้าหลักการทำนองว่า เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวสะท้อนความคิดของรัฐบาลนายกฯ ลุงตู่ว่า มีหลักการในการแก้ปัญหาสังคมด้วยวิธีไหน จะเลือกแบบ “โครงข่าย” หรือ “เครือข่าย”? เมื่อสมาชิกในวงสงสัยเรื่องความหมายของคำ “เครือข่าย” และ “โครงข่าย” ก็ได้รับการอรรถาธิบายให้ “ตาแจ้ง” ในทำนองว่า “โครงข่าย” ก็คือการแก้ปัญหาด้วยวิธีการโบราณที่นักเผด็จการชอบใช้ นั่นคือระบบ “แนวดิ่ง” ที่เรียกว่า “topdoun” หรือ “สั่งตรงจากบนลงล่าง” หรือ “ลัทธิเจ้านายคำสั่ง” ซึ่งบรรดาทหารทั้งโลกชอบและคุ้นชินนั่นแหละ ส่วน “เครือข่าย” นั้นตรงข้ามกับที่กล่าวมา กล่าวคือเป็นระบบ “แนวราบ” ที่มีลักษณะ “พหุลักษณ์ “คือคนในคณะต้องมาจากหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้อำนาจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเท่าๆกัน ไม่ใช่ระบบดิ่งเดี่ยวแบบเจ้านายคำสั่งที่ราชการคุ้นชิน แต่จะอย่างไรก็ตาม ในนั้นต้องมี “ตัวแทนของผู้มีอำนาจจริง” ที่สามารถตัดสินใจรวมอยู่ด้วย ผู้อรรถาธิบายสรุปว่า ถ้ารัฐบาลนายกฯลุงตู่นำระบบแรกมาใช้เหมือนที่แพลมๆมาให้เห็นแล้วนั่น ก็ให้เชื่อขนมเด็กกินก่อนได้เลยว่าเจ๊งกับจอดแน่แน่ๆ แต่ถ้านำระบบ “เครือข่าย” มาใช้ โอกาสรอดในการแก้ปัญญาที่เต็มไปด้วยเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองที่สุมมาอย่างยืดเยื้อนานเรื่องนี้อาจจะพบกับช่องทางในการแก้ปัญหาได้จริง เพราะมีแต่ “การเคารพและรับฟังทุกฝ่าย” อย่างแท้จริงเท่านั้น ปัญหาทุกอย่างจึงจะได้รับการสังเคราะห์ให้เห็น “เหตุ” และมีแต่การเคารพเหตุและแก้ปัญหาที่เหตุเท่านั้นจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้จริง อตะทัคคะแห่งวงสภากาแฟท่านนี้ยังแถมท้ายเรื่องนี้ให้แบบ “สะใจจิ้กโก๋” เป็นเสมือนของแถมตบท้ายอีกเล็กน้อย ว่า           อีกเรื่องที่นายกฯลุงตู่ต้องสรุปบทเรียนก็คือ ต้องไม่ผิดพลาดซ้ำรอยอดีต ที่ท่าน “ข้งเบ้ง” แห่งกองทัพไทยคนนั้นเคยทำไว้ คือการถูกประเทศเพื่อนบ้าน “หลอกกินหมู” ให้ช่วยแก้ปัญหาพรรคคอมมิวนิสต์มาเลเซียของนาย “จินเป็ง” ที่ใช้ประเทศไทยเป็นหลังพิงในการทำสงครามกับรัฐบาล “มลายา” จนเขาแก้ปั หาไม่ตก ต้องยืมมือรัฐบาลไทยยุคนั้นช่วยแก้ปัญหาให้ เป็น “คนกลาง” ทั้งจัดพื้นที่ อำนวยความสะดวก ทั้งบริการต่างๆนานา จนถึงขนาดต้องมอบสัญชาติไทยและพื้นที่ทำกินให้กับสิ่งที่รัฐไทยเรียกว่า “จคม.” หรือโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายู “ทั้งที่เบตงและที่อำเภอนาทวีจังหวัดสงขลา ทั้งๆที่คนเหล่านั้นล้วนเคยคิดว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียมาก่อนทั้งสิ้น ในขณะสิ่งที่รัฐไทยเรียกว่า “ขจก.” หรือ “ขบวนการโจรแบ่งแยกดินแดน” ที่รู้ๆกันอยู่ว่าใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลบซ่อนตัวเพื่อก่อการร้ายในไทยตลอดมายังอยู่กันได้อย่างสบาย และนับวันขบวนการยิ่งเติบใหญ่ขึ้นอย่างที่เห็นๆ ใหญ่จนรัฐไทยต้องใช้งบไปแล้วเป็นแสนล้านเพื่อแก้ปัญหานี้ หรือนายกฯลุงตู่จะยอมให้เขาหลอกกินเปล่าเหมือนที่อดีตนายกฯขงเบ้งอัลไซเมอร์คนนั้นเคยถูกหลอก?!!!