วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นคล้ายวันพระราชสมภพของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  ครบ  90 พรรษา  พสกนิกรชาวไทยสำนึกในพระมหากรุณาธิคณที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านต่างๆทั้งการส่งเสริมศิลปาชีพ  การอนุรักษ์ธรรมชาติ ด้านหัตถศิลป์  การเกษตรและชลประทาน และด้านการสาธารณสุข

“สยามรัฐ”จึงขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระองค์ในวาระต่างๆเพื่อเป็นประโยชน์และแง่คิดในการดำรงชีวิตของคุณผู้อ่านทั้งต่อตนเอง ครอบครัวและองค์กร ดังนี้

“ข้าพเจ้าเองได้รับความเมตตาสนับสนุนจากคนไทยทุกชนชั้นวรรณะ ทุกการงานมาช้านาน ตั้งแต่เป็นพระราชินีตั้งแต่อายุ 17 ปี จนปัจจุบัน  ประชาชนก็ยังเรียกว่า “คุณแม่” ทีแรกก็ตกใจ เอ๊ะ คนเรียกเราดูเขาแก่กว่าเรา ทำไมเขาเรียกเราคุณแม่ ทีหลังก็สำนึกได้ว่า แม่นี่เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งที่สุด การที่ใครเรียกคนหนึ่งว่าแม่นี่ บุคคลที่ถูกเรียกจะต้องคิดและสำนึกในเกียรติยศอันนี้และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”

(พระราชดำรัสที่ทรงพระราชทานแก่บุคคลต่าง  ๆ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา วันที่ 11 สิงหาคม 2535)

“...ในการรวมตัวกันเพื่อทำงานต่างๆนั้น ย่อมจะมีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง แต่ปัญหาใดๆก็ย่อมขจัดเสียได้โดยอาศัยความสามัคคีเป็นคุณธรรม ที่จะร้อยรัดให้ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขอเพียงแต่ละคนไม่ยึดถือ อัตตา คือตัวตนของผู้หนึ่งผู้ใดเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น...”          

(พระราชดำรัส ในพิธีเปิดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ของสภาสตรีแห่งชาติฯ ณ หอประชุมมนังคศิลา วันที่ 22 พฤษภาคม 2530)

“...พระบาทสมเด็จพระบาทพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งกับข้าพเจ้าเสมอว่า ไม่มีที่ไหนเหมือนแล้วเมืองไทย ที่คนไม่ว่าจะยากจนเพียงไร ยังเบิกบานชุ่มชื่นในการให้ ข้าพเจ้าเชื่อว่านี่คือมรดกอันประเสริฐที่คนไทยเราได้รับตกทอดกันมาหลายร้อยปี เราเป็นแผ่นดินแห่งพระบวรพุทธศาสนา อบรมสั่งสอนกันมานานให้รู้จักทำบุญด้วยการให้...”

(พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่ เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย 10 สิงหาคม 2527)

“...เมืองไทยเรารอดมาได้โดดเดี่ยวอย่างน่าหวาดเสียว ในท่ามกลางเพื่อนบ้าน ประเทศเพื่อนบ้านต้องบ้านแตก หนีภัยกันอย่างอุตลุด เอาชีวิตไปทิ้งในท้องทะเลก็มาก เราไม่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าเรามีความสามัคคี มีจิตใจที่กว้าง หมายความว่าสมองความคิดกว้าง...”

(พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิลาลัย 11 สิงหาคม 2525)

“... ในโลกปัจจุบัน เราจะมีความสุขแต่ลำพังโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนอีกหลายคนที่แวดล้อม เราอยู่นั้นไม่ได้ ผู้มีความเมตตาจิตหวังประโยชน์ส่วนรวม ย่อมรู้จักแบ่งปันความสุขเพื่อผู้อื่นและพร้อมที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ของผู้อื่น ตามกำลังและโอกาสเสมอ...”

(พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะกรรมการอาสาสมัคร สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน วันที่ 2 มีนาคม 2510)