แสงไทย เค้าภูไทย
ช่วงนางแนนซี เพโลซี เยือนไต้หวัน สัปดาห์ที่แล้ว จีนขุ่นเคืองหนัก ถึงกับจัดซ้อมรบคุกคาม ทำให้คนไทยบางส่วนก็พลอยผสมโรงด่าสหรัฐว่าจะเป็นตัวจุดชนวนสงคราม ทำให้เกิดคำถามว่า จีนบุกไต้หวันแบบเดียวกับรัสเซียบุกยูเครน จะเป็นไปได้แค่ไหน ?
เพราะเมื่อนางเพโลซีออกจากไต้หวันไปแล้วทุกอย่างก็กลับคืนสภาพปกติ ไม่มีวี่แววว่า ใครจะเผชิญหน้ากับใคร
ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ที่เพิ่งคุยกับโจ ไบเดน ทางโทรศัพท์ถึง 2 ชั่วโมง แม้จะออกมาสำทับว่าสหรัฐกำลังเล่นกับไฟ ก็เงียบเสียงไป
คงจะคิดได้ว่า นางเพโลซีเป็นแต่เพียงประธานสภาคองเกรส ไม่ได้เป็นตัวแทนของประธานาธิบดีหรือเป็นตัวแทนคนอเมริกันทั้งชาติในการไปเยือนไต้หวันครั้งนี้
คนไทยฝ่ายชังอเมริกาที่พากันด่านางเพโลซีสาดเสียเทสีย แบบหมาน้อยพลอยเห่าก็เงียบเสียงตาม
อย่างไรก็ดี ยังมีคำถามว่า จีนกับสหรัฐฯจะก่อสงครามกันเพื่อเกาะไต้หวันหรือไม่
มีนักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศวิเคราะห์ไว้ว่า ถ้าเป็นสงครามใช้อาวุธแล้ว ไม่น่าจะมี
จะมีก็แต่สงครามการค้า Trade War และสงครามเงินตรา Currency War ที่เกิดขึ้นแล้วในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี
สงครามครั้งนั้น เกิดจากสหรัฐฯเสียเปรียบดุลการค้าจีนมหาศาล สหรัฐเคยเรียกร้องให้จีนนำเข้าสินค้าสหรัฐมากขึ้น โดยเฉพาะธัญพืชอันมีถั่วเหลืองเป็นตัวนำ
แต่จีน ไม่ทำตามคำเรียกร้อง ทรัมป์จึงเปิดสงครามดังกล่าวขึ้น
เริ่มจากการตั้งกำแพงภาษีขาเข้า ตามด้วยกดดันค่าดอลลาร์ให้อ่อนลง
ผลคือสินค้าจีนต้องเสียภาษีขาเข้าสหรัฐเพิ่มขึ้น ค่าหยวนแข็งขึ้น จนจีนต้องกดดันลดค่าลงถึง 7 ครั้ง
ทำให้ต้องเร่งออกสกุลเงินดิจิทัล CBDC (Central Bank Digital Currency) ที่เริ่มพัฒนาตั้งแต่ปี 2014 มาใช้เรียกว่า Digital Yuan หรือชื่อทางการว่า DCEP
เป็นCBDC อย่างที่ธนาคารชาติของเรากำลังพัฒนาออกมาใช้เช่นกัน
มิใช่จีนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและสงครามเงินตรา ชาติคู่ค้าสหรัฐและสกุลเงินที่ผูกพันกับดอลลาร์สรอ.พากันแข็งค่าไปตามๆกัน
แม้กระทั่งไทย ค่าบาทแข็งปั๋ง จนผู้ส่งออกโอดโอย และยังต้องเสียภาษีขาเข้าสหรัฐเพิ่มอัตราเดียวกันกับจีน
พอผ่านยุคทรัมป์ ไบเดนได้ผ่อนคลายมาตรการเหล่านั้นลง สัมพันธภาพกับจีนก็ดีขึ้น
มีการต่อสายตรงคุยกันระหว่างสองประธานาธิบดีเป็นชั่วโมงๆ
ทั้งสองประธานาธิบดีต่างมีรหัสลับเพื่อป้องกันการถูกแฮ็ก และมีข้อตกลงในการพูดคุยเจรจากันว่า จะไม่มีการเอ่ยถึงไต้หวัน
การที่นางเพโลซี ไปเยือนไต้หวันนั้น มิได้ไปในฐานะตัวแทนของชาติหรือของประธานาธิบดี หากแต่เป็นการส่วนตัว
ทั้งนี้นางเพโลซี่ต้องการสร้างจุดเด่น ให้แก่ตัวเอง
โดยเชื่อมั่นว่า ไบเดนจะไม่ลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยหน้าอีกเพราะอายุมากแล้ว ซึ่งนางเพโลซีก็หวังจะขึ้นมาเป็นแคนดิเดดของเดโมแครตแทน
คงจะได้เจอกับทรัมป์คัมแบ็ก เจ้าของประโยคทอง America First (ผลประโยชน์ของ)ของอเมริกาต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด
สำหรับปัญหาไต้หวันนั้น ทั้งทรัมป์ทั้งไบเดนเคยย้ำไว้ว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยว โดยจะปล่อยให้ชาวไต้หวันกำหนดชะตากรรมของพวกเขาเอง
เชื่อว่า ชาวไต้หวันส่วนใหญ่ก็คงจะไม่อยากให้เกิดสงครามกับจีน
คนรุ่นเก่าโดยเฉพาะในพรรคก๊กมินตั๋ง ที่เคยมุ่งมั่นจะกลับไปยึดครองแผ่นดินจีนเหมือนยุคเจียง ไคเช็ก วันนี้ส่วนใหญ่ตายกันไปหมดแล้ว
ส่วนที่ตกทอดมรดกทางความคิดก็ค่อยๆสลายความเชื่อมั่น
คนไต้หวันทุกวันนี้ เริ่มมองอนาคตตัวเองว่า จะเป็นแบบฮ่องกง คือเป็นเขตบริหารพิเศษของจีน
จีนไม่ยึดหรือครอบครองฮ่องกงแบบเด็ดขาดหรือโดยตรง เพราะ ฮ่องกงมีตลาด Hang Seng เป็นตลาดการเงินและตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดในโลก
จีนได้ประโยชน์จากตลาดทุนแห่งนี้ จนเศรษฐกิจเติบโตอย่างเร่งรุด
จีนใช้ฮ่องกงเป็น Offshore Banking ออก Offshore Bonds และ Offshore ELN คือระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ต่างประเทศและตราสารอนุพันธุ์สกุลเงินต่างประเทศ มาใช้พัฒนาประเทศ
ไต้หวันก็น่าจะอยู่ตรงนั้น และยังเป็นแหล่งป้อนชิป ไมโครชิป ที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้แก่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และผลิตภัณฑ์อิเลกทรอนิกส์และดิจิทัลทั้งปวงให้จีน
ชาวไต้หวันรุ่นนี้ เป็นรุ่นหลาน รุ่นเหลนของคนรุ่นอพยพหนีจีนคอมมิวนิสต์ข้ามมาอยู่เกาะ ความคิดจึงต่างจากคนรุ่นปู่ย่าตาทวด
คนจีนในไทยวัยเดียวกับเจียง ไคเช็ก หรือรุ่นหลังๆไม่นาน ก็เคยมีความคิดแบบคนไต้หวันรุ่นอพยพ
บางบ้าน ร้านค้าหรือสถานประกอบการ เคยมีการแขวนรูปดร.ซุน ยัดเซน ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือแขวนคู่กับเจียง ไคเช็ก
เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว จะมีก็แต่พระบรมรูปในหลวงกับพระราชินีหรือภาพพระเกจิชื่อดังแทน
สำหรับทัศนคติของชาวไต้หวันรุ่นนี้ต่อจีน ผลสำรวจความเห็น พบว่ากว่า 60% โน้มเอียงไปทางนิยมจีน
ในอนาคต พรรคการเมืองตรงข้ามกับพรรคก๊กมินตั๋ง มีแนวโน้มจะชนะการเลือกตั้ง
การกำหนดทิศทางของการคงอยู่ของไต้หวัน ก็จะเป็นไปตามที่ผู้นำสหรัฐฯเอ่ยไว้
คือคนไต้หวัน จะกำหนดชะตากรรมของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร