ทีมข่าวคิดลึก เมื่อการเมืองเดินหน้าเข้าสู่จังหวะที่เรียกว่า เหมือนจะยาวไกลแต่ก็เหมือนใกล้แค่เอื้อม เพราะแม้จากนี้ไปอีกราว 1 ปีเศษ จะเข้าสู่การเลือกตั้ง ในปี2560 ตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้วางเอาไว้ ขณะเดียวกัน"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา"นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เองได้ยืนยันต่อเวทีนานาชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ถึงกระนั้น กลับดูเหมือนว่ายิ่งใกล้วันเลือกตั้งมากขึ้นเท่าใดพบว่าบรรยากาศและสถานการณ์ทางการเมือง แม้ "ความขัดแย้ง"ระหว่างขั้วการเมือง จะไม่ขยายผลลุกลามบานปลายมาเผชิญหน้ากับบนท้องถนน เหมือนเมื่อครั้งในอดีตก็ตาม แต่หลายปัจจัย หลากเงื่อนไขอาจกลายเป็น "ชนวน" ที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างหยิบยกขึ้นมาเป็นจุดในการปะทะกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขในทางการเมือง เมื่อคณะกรรมการการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำลังปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ ให้สอดคล้องกับคำถามพ่วง พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าเขียนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญด้วยกันทั้ง 4 ฉบับ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประเด็นที่ "เรียกแขก" ปลุกให้พรรคการเมืองต้องออกโรงพากันแสดงท่าทีไม่ตอบรับด้วยกันในหลายเรื่อง เช่นเดียวกันกับเมื่อคดีทุจริตต่างๆ ซึ่งมีคนในขั้วอำนาจเก่า ของพรรคเพื่อไทย ต่างติดบ่วงด้วยกันหลายต่อหลายคน ทั้งคดีค้างเก่า ที่ทยอยถูกตรวจสอบโดยองค์กรที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงคดีใหม่อย่างคดีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ที่ต้องเผชิญหน้ากันทั้งคดีอาญาไปจนถึงการถูกยึดทรัพย์ตามมาจากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ "บุญทรงเตริยาภิรมย์" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพวก แต่ที่ดูเหมือนว่าในรายของ"วัฒนา เมืองสุข" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่มีคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรจ่อคิวรอถล่มอยู่นั้นล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์เฟชบุ๊ก เตือน คสช.ว่าอย่าทำให้ บ้านเมืองถึงทางตัน "หลายคนแสดงความเป็นห่วงเรื่องคดีที่กำลังถาโถมเข้ามาหาผมและพรรคพวก โดยเห็นว่า คสช.กำลังใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายตรงข้าม ซึ่งคนไทยจำนวนมากและประชาคมโลกต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ผมเห็นว่าเป็นการลงทุนที่เสี่ยงมาก เพราะหากประชาชนไม่สามารถแสวงหาความเป็นธรรมได้จากกระบวนการยุติธรรมแล้ว ประชาชนก็ต้องแสวงหาความเป็นธรรมกันเอง นั่นก็คือสงครามกลางเมืองแบบที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศซึ่งเราไม่ต้องการให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะมันคือการสูญเสียของทุกฝ่าย" (2 ต.ค.2559) สิ่งที่จะเป็นประเด็นกดดันและผลักให้บ้านเมืองกลับมาคุกรุ่นได้อีกหรือไม่นั้น แน่นอนว่าย่อมมาจากศึกหลายด้านหาก คสช. ไม่สามารถบริหารจัดการให้ทุกอย่างอยู่ในการกำกับดูแลได้อย่าง "อยู่หมัด" โดยเฉพาะการตอบโต้ คสช.จากฝ่ายตรงข้ามในยามที่ "บิ๊กทหาร"หลายคนต่างเพลี่ยงพล้ำ มีประเด็นให้ถูกตรวจสอบในเรื่องของการใช้เม็ดเงินงบประมาณ เพราะยังไม่ทันจบเรื่องคนในครอบครัวของ "บิ๊กติ๊ก" พล.อ.ปรีชาจันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายนายกฯ ล่าสุดประเด็นการใช้เงินเดินทางไปประชุมของ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในการร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเชียน-สหรัฐฯ (ASEAN - US Defense Informal Meeting)ระหว่าง 29 ก.ย.-1 ต.ค.59 ณมลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 20 กว่าล้านบาท งานนี้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็น"ของหวาน" สำหรับฝ่านตรงข้ามรัฐบาลและ คสช.ที่จะฉวยจังหวะถล่มกลับอย่างไม่ต้องสงสัย !