จะบังเอิญหรือไม่อย่างไร ด้วยเลข 800 บาทในวงเงินจากโครงการคนละครึ่งเฟส 5 เป็นตัวเลขที่ถูกนำไปล้อกับการอยู่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 8 ปี

กระนั้น ต้องยอมรับว่า โครงการคนละครึ่งนั้น ได้รับความนิยมจากพี่น้องประชาชน และมีกระแสเรียกร้องอย่างมากก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะภาคเอกชนที่มองว่าคนละครึ่งเฟส 5 จำเป็นในการดึงบรรยากาศกระตุ้นการใช้จ่าให้คักคักอย่างต่อเนื่อง

จากเดิมที่คนละครึ่งช่วยลดภาระค่าครองชีพในช่วงวิกฤติโควิด-19 แต่ปัจจุบันโครงการนี้ช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชน ซึ่งมีการคาดการณ์แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน

หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไป ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม จึงมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มกำลังซื้อ 3 โครงการ จากเงินกู้ วงเงิน 27,427 ล้านบาท  ได้แก่

1.โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 มีผู้ได้รับสิทธิ 26.5 ล้านคน โดยภาครัฐช่วยจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดในอัตรา 50% ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 800 บาทต่อคน ระยะเวลาโครงการวันที่ 1 ก.ย.-31 ต.ค.2565 ใช้เงินทั้งสิ้น 21,200 ล้านบาท

2.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 5 ไม่เกิน 13.34 ล้านคน ช่วยเหลือ 200 บาทต่อคน เป็นเวลา 2 เดือน รวมเป็น 400 บาทต่อคน ใช้เงินทั้งสิ้น 5,336.83 ล้านบาท

และ3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ ระยะที่ 3 ไม่เกิน 2.22 ล้านคน ช่วยเหลือ 200 บาทต่อคน เป็นเวลา 2 เดือน รวมเป็น 400 บาทต่อคน ใช้เงินทั้งสิ้น 890.88 ล้านบาท

ส่วนเหตุผลที่มาของการกำหนดวงเงิน 800 บาท สำหรับโครงการคนละครึ่งนั้น นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า พิจารณาตามความจำเป็น จากที่ผ่านมาได้ใช้เงินไปมากแล้ว เพราะเป็นช่วงที่ประชาชนขาดรายได้ แต่ปัจจุบันประชาชนเริ่มกลับเข้ามาทำงานและมีรายได้เพิ่มแล้ว และการออกมาตรการครั้งนี้ก็จะช่วยทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 48,628 ล้านบาท ช่วยดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ 0.13%

อย่างไรก็ตาม  เราคาดการณ์ว่า ในช่วงปลายปี รัฐบาลจะมีการอัดแพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนอีกระลอก