การเข้ามาทำหน้าที่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผ่านไปไม่ถึง1เดือน แต่ดูเหมือนว่า ภารกิจในมือในฐานะ พ่อเมืองกทม. มีมากมายที่ต้องสะสาง และจะต้องผลักดัน 214นโยบาย ที่เคยหาเสียงเอาไว้ว่าจะทำเพื่อ คนกทม. แต่ขณะเดียวกัน ยังกลายเป็นว่า ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ชัชชาติ เองยังต้องรับมือและถูกดึงเข้าไปคลุกกับ การเมือง โดยปริยาย !
เมื่อทุกความเคลื่อนไหวของชัชชาติ ผู้ว่าฯกทม.คนที่ 17 ถูกจับตา ถูกตั้งข้อสังเกตถึง ท่าที ระหว่างเขาเอง กับ รัฐบาล ที่มี บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั้นเป็น บวก หรือ ลบ
เมื่อชัชชาติ คืออดีตรัฐมนตรีที่เคยอยู่ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และถูก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยึดอำนาจ เมื่อปี 2557 ซึ่งตัวชัชชาติเอง ก็เคยพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อครั้งถูกควบคุมตัว จนเกิดเป็นกระแสการประจันหน้ากันระหว่าง ฝ่ายประชาธิปไตย ที่เชียร์ชัชชาติ สู้กับ ฝ่ายเผด็จการ ที่มีรัฐบาลยืนอยู่
การพบปะกันระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ กับ ผู้ว่าฯชัชชาติ ยังไม่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้หลายคนยิ่งจับตามองว่าที่สุดแล้ว ผู้ว่าฯกทม. กับผู้นำรัฐบาล จะประสานงานกันอย่างไร หากต่างฝ่ายต่างไม่ใช่ เนื้อเดียวกัน ตั้งแต่แรก ยิ่งเมื่อมีความเคลื่อนไหวการชุมนุม ของม็อบราษฎรจัดกิจกรรม ในชื่อ เดินเท้าไล่ตู่ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา โดยนัดรวมตัวกันในจุดแรกที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อมาสถานการณ์เพิ่มระดับเมื่อผู้ชุมนุมบาง
ส่วนมาปักหลักกันที่แยกดินแดง เพื่อบุกบ้านนายกฯ แต่โดนสกัดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนเกิดการปะทะกันขึ้น ผู้ชุมนุมก่อเหตุ ยิงพลุปาประทัดใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกทุบรถจุดไฟเผารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คัน ที่จอดอยู่บริเวณตรงข้ามตลาดศรีวานิช
ขณะที่ ชัชชาติ ไลฟ์สดมาจากสหรัฐฯระบุว่า ห่วงสถานการณ์ชุมนุม และขอเจ้าหน้าที่อย่าใช้ความรุนแรง พร้อมทั้ง สั่งรองผู้ว่าฯ กทม. ให้อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยแก่ผู้ชุมนุม แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ได้ทำให้ชัชชาติ ยิ่งถูกผลักให้ไปยืนอยู่กับฝ่ายผู้ชุมนุมมากยิ่งขึ้น และจะยิ่งส่งผลต่อบรรยากาศในการทำงานกับฝ่ายรัฐบาล จากนี้ไป
แต่สำหรับผู้ชุมนุมแล้ว การเคลื่อนไหวครั้งนี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการที่ชัชชาติ ผู้ซึ่งเคยหาเสียงว่า จะจัดหาพื้นที่ให้ชุมนุม เนื่องจากเป็นสิทธิเสรีภาพ แต่อย่างใด เพราะเป้าหมายหลักของผู้ชุมนุมย่อมประเมินแล้วว่าเมื่อเข้าใกล้จังหวะที่รัฐบาลจะถูกดึงเข้าสู่ คิลลิ่ง โซน ศึกในสภาฯ เมื่อนั้น คือโอกาสเหมาะ ที่ต้องกดดัน นอกสภาฯ ต่างหาก !