การมาของ ชัชชาติ  สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนที่ 17 กำลังบอกและสะท้อน หลายสิ่งหลายอย่างในทางการเมืองตามมา นับจากนี้ไป โดยเฉพาะ ข้อกังขา สารพัดข้อสมมติฐาน หรือแม้แต่ประเด็นที่ว่าด้วยตัวชัชชาติ เองจะสามารถ เอื้อ  ต่อพรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ได้มากน้อยแค่ไหน !?
        
 1 มิถุนายน 65 ชัชชาติ เดินทางเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า ภายหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. และสมาชิกสภากทม. เมื่อวันที่ 31 พ.ค.65 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเปิดตัวทีมรองผู้ว่าฯกทม. และทีมที่ปรึกษาฯ 
      
   ทำให้บรรยากาศที่ศาลาว่าการกทม.เต็มไปด้วยความคึกคัก ข้าราชการกทม. และพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพฯ ต่างให้การต้อนรับ ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ ที่มาจากการเลือกตั้ง เอาชนะคู่แข่งมาได้อย่างถล่มทลาย ถึง1.38 ล้านคะแนน 
      
   จากชัยชนะของชัชชาติ แบบโคตรแลนด์สไลด์ ตามที่ เทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ให้คำจำกัดความเอาไว้ เมื่อวันที่รู้ผลอย่างไม่เป็นทางการ  ไม่เพียงแต่จะเป็น ต้นทุน ให้กับตัวชัชชาติ เองว่า เขาได้รับฉันทานุมัติจากคนกรุงเทพฯ ให้เข้ามาทำงาน หลังจากที่ทุ่มเท หาเสียงมายาวนานกว่า 2ปี 
      
   แต่ขณะเดียวกันปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า คะแนนนิยม  ของชัชชาติ ได้กลายเป็น ปัจจัย ที่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล นำไปใช้อ้างถึงความสำเร็จ ของ ฝ่ายประชาธิปไตย ที่เหนือกว่า รัฐบาลและตัว บิ๊กตู่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ซึ่งเป็นตัวแทนของ ฝ่ายเผด็จการ  
      
   ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย พรรคต้นสังกัดเดิม ของชัชชาติ ที่เขาเองเคยสังกัดเมื่อสมัยที่เข้ามานั่งในตำแหน่ง รมว.คมนาคม สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อมายังเป็นหนึ่งในสามแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของพรรคเพื่อไทย ได้เกิดความคึกคัก และถูกจับตามองมาโดยตลอดว่า พรรคเพื่อไทย จะส่งคนเข้ามานั่งทำงานกับชัชชาติหรือไม่ 
      
   ซึ่งแน่นอนว่า การตัดสินใจประกาศตัวลงสมัครในนามอิสระของชัชชาติ ตั้งแต่ปลายปี 2562 เป็นต้นมานั้น เพราะชัชชาติ มองเห็นและประเมินสถานการณ์ได้แม่นยำแล้วว่า การสังกัดพรรคเพื่อไทย มีแต่จะทำให้เขาเองเดินไปไม่ถึงเป้าหมาย ผู้ว่าฯกทม.คนที่ 17   
      
   นาทีนี้ แม้พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล จะประกาศจับมือกัน ทำงานในสภากทม. เพื่อยกระดับการทำงานของกทม. ผ่านส.ก. 20 คนของพรรคเพื่อไทย  และส.ก.อีก 14 คนของพรรคก้าวไกล คือ ภาพ ที่ต่างต้องแสดงให้เห็นในฐานะ เสียงข้างมาก  แต่เกมการเมืองในสนามกทม. ยังไม่ได้จบลงแค่การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. และส.ก. เท่านั้น หากแต่ งานใหญ่ ของจริงที่รออยู่คือการเลือกตั้ง สนามใหญ่ การเลือกตั้งส.ส.
      
   หมายความว่าเมื่อถึงเวลานั้น ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล จะต้องเปิด แผนการเล่น กันใหม่ จากที่เคยเป็น มิตร  ก็ต้องหันมาชิงพื้นที่กันเอง  เช่นเดียวกับการที่พรรคเพื่อไทย คาดหวังจะอาศัย กระแสชัชชาติ  หรือกลไกในฐานะผู้ว่าฯกทม. คนใหม่ เพื่อสร้างความได้เปรียบ เสียเปรียบในกทม. ย่อมอาจกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก 
      
   เพราะคะแนน 1.38 ล้านคะแนนของชัชชาติ ย่อมไม่ต้องการผูกพัน หรือเปิดทางให้ การเมือง เข้ามา ผูกมัดตัวเขาเอง !