สถาพร ศรีสัจจัง

 

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี นักปราชญ์และนักคิดร่วมสมัยคนสำคัญของสังไทยได้นำเสนอบทความเรื่อง “โลกหลังโควิด-โลก 7 N “โควิด-19” : ป้องกันการเกิดสงครามโลก สู่ทิศทางใหม่” ไว้เมื่อ 7 พฤษภาคม 2563 มีประเด็นสำคัญยิ่งประเด็นหนึ่ง สรุปได้ว่า : 

                

ความรุนแรงที่เกิดจากระบบอำนาจนิยมแบบทุนนิยมผูกขาด เกิดจากพื้นฐานที่ว่า ระบบทุนนิยมจะมีวิกฤติทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นในระบบอยู่เป็นช่วงๆโดยตลอด ในทำนอง “สนิมเหล็กเกิดจากเนื้อในตน” และทางออกจากวิกฤติดังกล่าว ทุนนิยมจะใช้วิธีการแบบ “รุนแรง” ในการแก้ปัญหา อยู่เสมอๆ รูปแบบสำคัญรูปแบบหนึ่งก็คือ การ “ทำสงคราม” !

             

ผลของสงคราม ย่อมก่อเกิดการตายของบรรดาคนจนและลูกหลานคนจนชั้นล่างเป็นจำนวนมาก (เคยเห็นชนชั้นนำหรือนายทุนตายบ้างไหม?) อย่างเช่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ที่ทำให้สหรัฐอเมริการ่ำรวยอู้ฟู่และกลายเป็นจักรพรรดินิยมมหาอำนาจตัวใหม่ของโลกแทนชาติยุโรป อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือสเปน)ที่มีชาวบ้านร้านตลาดซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นล่างของสังคม ต้องตายไปไม่น้อยกว่า 60 ล้านคน!

             

คุณหมอประเวศบอกว่า การส่งคนจำนวนหนึ่งไปตาย เป็นการลดความกดดันทางเศรษฐกิจ และในขณะเดียวกัน ชาติมหาอำนาจ (อย่างสหรัฐอเมริกา) ก็สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและการมีงานทำของคนในชาติ ด้วยการส่งเสริมให้มีการผลิตอาวุธและยุทธปัจจัยต่างๆเพื่อขายทำกำไรได้อย่างมหาศาล(อย่างเช่น สงคราม “ยูเครน-รัสเซีย” ในปัจจุบัน พอจะเห็นเป็นรูปธรรมบ้างไหมว่า ชาติใดที่เป็นพ่อค้ายุทธปัจจัยตัวสำคัญที่น่าจะร่ำรวยมหาศาลจากการนี้?)

             

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ระบบทุนนิยมผูกขาดก่อให้เกิดชิดปัญหาสังคมในทุกด้าน โดยเฉพาะด้าน “ความเครียด” ของประชากร ความเครียดดังกล่าวนี้ จัดเป็น “ความรุนแรงเงียบ” (Silent Violence)

ที่สร้างปัญหาให้สังคมโลกอย่างมหาศาล ก่อเกิด “ความตาย” ในลักษณาการต่างของประชากรทั้งในประเทศ อภิจักรพรรดินิยมเอง และประเทศเล็กประเทศน้อยต่างๆ โดยเฉพาะบรรดาประเทศที่ “กำลังพัฒนา”  และ “ด้อยพัฒนา”  ผู้ติดอยู่ในบ่วงแร้วกับดักของระบบจักรวรรดินิยมสมัยใหม่ทั้งหลาย!

             

ความเครียดของประชากร” ที่เกิดจากความรุนแรงฉ้อฉลของระบบ “กิเลสเป็นใหญ่” (ขาดการรู้จัก “ความพอเพียง” หรือ “พอดี” ตามหลักทางสายกลางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น) แบบระบบทุนนิยมผูกขาด ที่ถือเอา “เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด” เป็นสรณะนั้น ก่อให้เกิด “โรคทางสังคม” เป็นจำนวนมาก ที่เห็นได้ชัดๆก็เช่น โรคซึมเศร้า โรคการยึดเอายาเสพติดเป็นสรณะเพื่อการหาทางพ้นทุกข์ โรคการฆ่าตัวตาย และโรคชอบฆ่าผู้อื่น ฯลฯ

             

พี่เบิ้มสหรัฐอเมริกานั่นไงคือต้นแบบการกราดยิงในรถไฟฟ้า รถใต้ดิน ในชุมชน ฯที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดมา  และการกราดยิงนักเรียนตัวเล็กๆไร้เดียงสาและครูในโรงเรียนประถมตายไปกว่า 20 ชีวิต ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ  ในสังคมแห่งนั้น หรือจะยังไม่ตอบคำถามชี้ชัดถึงปัญความรุนแรงดังกล่าวนี้?!

               

และความรุนแรง ที่ทำลายทั้งสภาพภูมินิเวศของโลก(ทรัพยากรธรรมชาติและภูมิอากาศ) ชีวิตตนเอง และเพื่อนมนุษย์ เช่นนี้คืออะไรเล่า ถ้าไม่ใช่ “โรคระบาดใหญ่” ที่น่าเกลียดน่ากลัวน่าขยะแขยงที่สุด

เท่าที่เคยมีปรากฏในดวงดาว(ที่เคยมี)สีน้ำเงินที่ชื่อ “โลก” ดวงนี้?!

               

 ไม่แน่ใจนักว่าอภิมหาอำนาจ (ที่กำลังถูกท้าทาย) อย่างสหรัฐอเมริกาจะเป็น “โรคความจำเสื่อม” หรือโรค “ชอบเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” กันแน่ เพราะเห็นระดมโฆษณาชวนเขื่อผ่านสื่อทุกสื่อของตนเอง (และเครือข่าย) เพื่อ “โปรแกรม” ให้คนทั้งโลกเขื่อว่าปฏิบัติการที่รัสเซียกรีฑาทัพบุกยูเครนนั้นเป็นการ “ทำสงครามรุกราน” ที่เป็นการ “ละเมิดบูรณภาพเหนือดินแดน” ไม่ใช่ปฏิบัติการทางทหารที่มีเหตุปัจจัยเพราะความเป็นมาและ “ข้อจำกัดทางประวัติศาสตร์” อย่างที่รัสเซียอ้าง!

               

ที่ว่า “เป็นโรคความจำเสื่อม” หรือ “โรคเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” นั้น ก็เพราะ ดูเหมือนใน “ประวัติศาสตร์การสร้างชาติ” ของสหรัฐอเมริกาเองนั้น มักมีพฤติกรรมรุกรานทำสงคราม และ ผนวกเอาดินแดนของคนอื่นโดยการใช้ความรุนแรงที่เรียก “สงคราม” มาโดยตลอด!

                 

เริ่มตั้งแต่การใช้อำนาจอาวุธและความได้เปรียบเชิงเทคนิคสมัยใหม่ ขับไล่เจ้าของถิ่นเดิมอย่างชนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดงจำนวนมากเผ่ามากคนด้วยกัน ใครที่สนใจอยากรู้รายละเอียดในเรื่องนี้ ก็ลองไปหาเอกสารที่เกี่ยวข้องอ่านเอาเองก็แล้วกัน เพราะมีอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตเต็มไปหมด จะได้รู้ว่าเจ้าของแผ่นดินเดิมที่สหรัฐอเมริกาเข้ายึดครองเป็นเจ้าอยู่ในปัจจุบัน ต้องตายถมแผ่นดินกันไปมากเท่าไหร่!

                 

แต่ที่เห็นชัดๆสุดก็คือ พฤติกรรมการรุกรานประเทศอื่นเพื่อผนวกเอาดินแดนที่อยากได้มาเป็นของตน เรื่องนี้มีอยู่หลายครั้งหลายหนในประวัติศาสตร์การสร้างชาติในรอบกว่า 200 ปี (อันน่าภาคภูมิ?)ของสหรัฐอเมริกาทีเดียว!

                  

ตัวอย่างเช่น การยึดเอาสาธารณรัฐเท็กซัส(ที่เพิ่งแยกตัวมาจากประเทศเม็กซิโก และยังมีปัญหาเรื่องดินแดนทับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก)ในปี ค.ศ.1848 เรื่องนี้ก็เช่นกัน ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดก็สามารถไปเปิดอ่านเอาได้ใน วีกิ.พีเดีย มีข้อมูลที่ชี้ชัดเพียบทีเดียว!

                   

กล่าวโดยสรุป คำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “โรคระบาดใหญ่” ว่าแท้จริงแล้วคืออะไร? และ มีสมุฏฐานจากอะไรกันแน่? คือโรคที่เกิดบักเตรี ไวรัส หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย  ฯลฯ ที่ก่อผลทางกายภาพต่อมนุษยชาติอย่างรุนแรงและรวดเร็วแค่นั้นหรือ?

                    

หรือนี่คือปรากฏการณ์ของ “โรคทางจิตภาพ” ที่ก่อให้เกิด “จิตเภท” และ ความรุนแรงต่างๆนานาขึ้นในหมู่มนุษย์ อันมีเหตุปัจจัยที่เกิดจากแรงกระตุ้นเร้าเรื่อง “ผลประโยชน์กูเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด” ของระบบทุนนิยมผูกขาด ที่เป็นระบบเศรษฐกิจกระแสหลักของโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน ที่มีชาติ “อภิมหาอำนาจ” เป็นผู้ชักใยและกุมกลไกการโปรแกรมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง จนก่อให้เกิดสภาวะ “กิเลสโลดเถลิง” แบบคุมไม่อยู่ในหมู่ผู้คน (โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นนำจำนวนน้อยที่เต็มไปด้วย “ความมีโอกาส” ของแต่ละสังคม) หรือไม่ใช่?!!!!