จะถอดบทเรียนพฤษภาทมิฬสักกี่ครั้ง สำหรับปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย ก็ดูเหมือนว่าสังคมจะไม่เคยหลาบจำความเจ็บปวดจากบาดแผลในอดีตได้เสียที ด้วยหลายฝ่ายยังใช้กลยุทธ์ทางการเมือง แบ่งแยกในแบบเดิมๆ เพื่อหวังไปสู่ชัยชนะ หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังไว้กับคนรุ่นใหม่
“สยามรัฐ”ขอยกความตอนหนึ่ง ของนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์พฤษภา 35 ทั้งยังได้เป็นคณะกรรมการในเรื่องของการชดใช้ความเสียหาย ได้กล่าวในงานพิธีรำลึก 30 ปี สดุดีวีรชนพฤกษาประชาธรรม มาเผยแพร่อีกครั้ง ระบุว่า
“ความทรงจำเรามีอยู่ เราไม่ลืม แต่เราต้องเดินข้ามไปแล้ว และวันนี้ตนยินดีที่ได้มาพบญาติพี่น้องของผู้สูญเสียอีกครั้งหนึ่ง ถือว่าการมาร่วมทำบุญ ในวันนี้เป็นบุญกุศลกับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว และอนุสรณ์ที่เราทำขึ้นมาก็เป็นการปลุกให้คนระลึกถึงว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก แต่อนุสรณ์ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความเคียดแค้น หรือสัญลักษณ์ของความเจ็บใจ แต่เป็นอนุสรณ์ของการสร้างบทเรียนประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นเราและคนรุ่นหลานของผู้ประสบเหตุการณ์โดยตรงได้ระลึกเสมอว่าครั้งหนึ่งได้มีการต่อสู้เพื่อประชารัฐ และเพื่อประชาคม เรียกร้องหาสิทธิเสรีภาพ หาโอกาสที่จะลดความเหลื่อมล้ำ ลดความอยุติธรรมในสังคม แสวงหาสิทธิขั้นต้นในการแสดงออกความคิดเห็นหรือมีความเห็นที่แตกต่าง คนเราความเห็นแตกต่างกันได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่มีความแตกแยก มีการต่อสู้ มีการใช้กำลังกันแล้วถือเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ
เรามีบทเรียนแบบนี้หลายครั้ง ใน 80 ปีที่ผ่านมา แต่เราก็ไม่เคยจำ เพราะทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ยังเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งต่อไป การไม่อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ทำให้ความขัดแย้งที่ลุกล้ำเข้าไปถึงจิตใจประชาชน ก่อให้เกิดความเกลียดชัง โมโห โทสะ อย่างรุนแรง ถ้าเราไม่เรียนจากประวัติศาสตร์ว่าสิ่งที่ผ่านมาผิดตลอดเวลา เมืองไทยเราจะหาความสุขสงบได้ยาก เพราะความปรองดองต้องสร้างขึ้นจากพวกเราทั้งหลาย โดยการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างความเชื่อถือและความมั่นใจซึ่งกันและกัน ถึงแม้จะไม่เป็นมิตร แต่สร้างความไม่เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความพยายาม รวมถึงใช้สติ วันนี้เรามาระลึกถึงอดีต แต่เราต้องคุมสติไว้เพื่อนำประเทศชาติ และสังคมไทยไปสู่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์
ผมหวังว่าเหตุการณ์ประเภทนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย เพราะถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว เราไม่โต แต่เราจะย้อนหลังเป็นเด็กมากขึ้นมากขึ้นทุกทีๆ ผมไม่ได้สูญเสียอะไรในวันนั้น แต่เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องรักประเทศชาติและคนไทยมากขึ้น เพราะในสังคมทุกสังคมมีแต่ความเกลียดชัง ดูถูกดูแคลน สิ่งเหล่านี้จะต้องหมดไป ดังนั้นวันนี้ครบ 30 ปีขอให้วิญญาณผู้ที่สิ้นชีวิตไป ไม่ว่าจะเพศใด ศาสนาใด ตำแหน่งใด ขอให้วิญญาณทุกท่านและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกบันดาลให้คนไทยตื่นจากความมืดมัว ตื่นจากความซึมเศร้า ตื่นเพื่อต่อสู้ สร้างอนาคตใหม่ที่ดีงาม ที่เป็นธรรม และไม่เป็นภัยกับผู้ใดทั้งสิ้น”