สถาพร ศรีสัจจัง
ระบบทุนนิยม (The Capitalism) ก่อตัวเป็นทฤษฎีขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 แล้วได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ 18 ฟรีดริช เองเกล สหายคู่หูของคาร์ล มาร์กซ์ เจ้าทฤษฎีแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ เขียนหนังสือเล่มสำคัญที่ชื่อ “The Condition of the Working Class in England in 1844” อธิบายถึงการเกิดขึ้นของการปฏิวัติอุตสากกรรมที่กลายเป็นวาทกรรมสำคัญให้นักปราชญ์ในชั้นหลังอย่าง อาโนลด์ ทอยน์บี นำมาอรรถาธิบายขยายจนโด่งดังในห้วงปีค.ศ.1881 วาทกรรมดังคือข้อสรุปที่ว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือ การปฏิวัตเปลี่ยนแปลงสังคมอารยชนในเวลาเดียวกัน”
ในห้วงเวลาประมาณ 3 ศตวรรษ (จากศตวรรษที่ 18-21) ทุนนิยมได้พัฒนาเติบใหญ่ขึ้นจนกลายเป็น “ทุนนิยมผูกขาด”หรือ “ทุนนิยมจักรวรรดินิยม” ไปในที่สุด หัวใจของระบบนี้ที่เชื่อว่า คือ “ระบบเศรษฐกิจแห่งการแข่งขันเสรี” เปลี่ยนไปเป็น “ระบบเงินเป็นใหญ่กำไรสูงสุด” (อย่างที่นักปราชญ์ไทย ท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี เคยกล่าวประมวลสรุปไว้อย่างเฉียบคม) ซึ่งมีส่วนอย่างสำคัญในการ “ทำลายโลก” และก่อวิกฤตินานัปการขึ้นในปัจจุบัน!
สำคัญสุดคือวิกฤติภูมินิเวศ และที่เห็นชัดอย่างโดดเด่นเป็นพิเศษ เพราะส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติอย่างรุนแรงสุดอย่างที่ประจักษ์กันอยู่ในปัจจุบัน ก็คือวิกฤติทรัพยากรธรรมชาติและภูมิอากาศของโลก!
โรคร้ายจากเชื้อไวรัสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Covid-19 ที่คร่าชีวิตพลโลกอยู่ในปัจจุบัน หรือ โรคที่เกิดจาก “ระบบเสรี”อย่างเอดส์ หรือโรคคลั่งความรุนแรงก่อสงครามเพื่อ “ผลประโยชน์ตนและพวกพ้องตน” ฯลฯ ก็ล้วนมีเหตุเกิดมาจากพัฒนาการของระบบทุนนิยมโดยตรง!
ว่ากันเฉพาะ “โรครูปธรรม” ที่เกิดจากความผิดเพี้ยนของระบบ “ชีวภูมิ” จนก่อเกิดเป็น “โรคระบาดใหญ่” ที่พล่าผลาญชีวิตมนุษยชาติในรอบ 300 ปีไปอย่างนับไม่ถ้วน อย่างน้อยก็มีไม่น้อยกว่า 8 ครั้ง ยกตัวอย่างให้ฟังก็ได้ เช่น :
-ปี ค.ศ.1720 (พ.ศ.2263)เกิดกาฬโรค(Plague) มีคนตายมากกว่าแสนคน
-ปี ค.ศ.1820 (พ.ศ.2363)เกิดอหิวาตกโรค(Cholera) มีคนตายมากกว่า 6 พันคน
-ปี ค.ศ.1920(พ.ศ.2461) เกิดไข้หวัดใหญ่สเปญ(Spanish Flu)มีคนตายไม่น้อยกว่า 20-50 ล้านคน
-ปี ค.ศ.1956(พ.ศ.2499)เกิดไข้หวัดใหญ่เอเซีย(Asian Flu)มีคนตายกว่า 2 ล้าน เฉพาะสหรัฐอเมริกา ตายไปประมาณ 7 หมื่นคน
-ปี ค.ศ.1968(พ.ศ.2511)เกิดไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง มีคนตายไปกว่าล้าน
-ปี ค.ศ.1976 (พ.ศ.2519)เกิดโรคเอดส์(H.I.V.) มีคนตายกว่า 31-35 ล้านคน
-ปี ค.ศ 2009(พ.ศ.2552) เกิดไข้หวัดใหญ่2009 มีคนตายกว่า 2 แสน 8 หมื่นคน
-ปี ค.ศ.2019(พ.ศ.2562)เกิด “โควิด-19” (องค์การอนามัยโลกประกาศให้เป็นโรคระบาดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2563) จนถึงปัจจุบันประมาณว่ามีคนตายไปแล้วกว่า 2 ล้านคน
ฯลฯ
ปรากฏการณ์ที่กล่าวมาเป็นเพียงการประมวลอย่างคร่าวๆ ยังมีโรคระบาดที่เกิดทั่วโลกอีกมากมายหลายชนิดและหลายครั้ง เช่น โรคอีโบลาร์ และโรคไข้ทรพิษลิง ที่กำลังระบาดอยู่คู่กับโรคระบือนาม ที่ชื่อ “โควิด-19” ในปัจจุบัน เป็นต้น
มีงานวิจัยที่นับวันก็ยิ่งมีมากและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่า เหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคระบาดดังกล่าวนั้น ล้วนเกิดจากฝีมือของมนุษย์เองทั้งสิ้น การวิจัยทางการแพทย์มากมายที่บอกถึงเรื่องนี้ เช่น โครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่ชื่อ “Landset Coutdoun” ได้บอกไว้ในบทรายงานชื่อ “Code red for a healty future” โดย Marina Romanello ผอ.ฝ่ายวิจัยของโครงการ ที่ระบุว่า ด้วยเหตุที่โลกปัจจุบันร้อนขึ้นถึง 2.4 องศาเซลเซียสนั่นเองที่ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อเรื่องสุขภาพของผู้คนอย่างน้อย 44ประการ และโรคระบาดทั้งหลายแทบทั้งหมด ก็เกิดจากเหตุเหล่านี้เอง
ศาสตราจารย์ ดร. ลีอา แพทซาวูดี้(pro.Dr.Lia patsavoudi)ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัย เวสท์ แอทติ ของกรีซ(เป็นอาสาสมัครของกลุ่มกรีน พีซ ด้วย)ได้นำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกปัจจุบันไว้ สรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ว่า :
" 1.สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather Event) สามารถเพิ่มการแพร่กระจายของพาหะนำเชื้อโรค เช่น แมลงต่าง ๆ แบคทีเรีย และไวรัส เพราะเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นจะยิ่งทำให้อากาศชื้น และส่งผลให้เชื้อโรคและพาหะ (มักจะเป็นสัตว์ต่าง ๆ)พัฒนาตัวเอง อยู่รอด และแพร่กระจายได้ดีกว่าเดิม
2.การบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อเกษตรอุตสาหกรรมและการทำเหมือง ไม่ได้เป็นแค่สาเหตุที่ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง แต่ยังทำให้สัตว์ต่าง ๆ ต้องอพยพไปหาที่อยู่อาศัยใหม่ เป็นมนุษย์เองที่บังคับให้พวกมันอพยพมาใกล้กับที่อยู่อาศัยของมนุษย์และใกล้ชิดกับคน เมื่อคนกับสัตว์พาหะมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น จึงทำให้มีแนวโน้มว่าคนจะติดเชื้อโรคจากสัตว์ได้ง่ายขึ้น เป็นการเพิ่มการระบาดของโรคอย่างมีนัยยะสำคัญ
3.หากลองเอาทฤษฎีสภาวะเจือจาง (dilution effect) มาอธิบาย ก็จะเห็นว่า ยิ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ป่ามาก ก็จะทำให้การแพร่ระบาดของโรคเจือจางลง เพราะยิ่งมีความหนาแน่นของสัตว์พาหะน้อยลงเท่าไร ไวรัสก็จะแพร่ระบาดได้น้อยลงตามและจะช่วยลดการแพร่เชื้อโรคไปยังมนุษย์ได้พื้นที่ขนาดใหญ่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ตามธรรมชาติจะเป็นเหมือนกำแพงที่แยกที่อยู่อาศัยของคนและสัตว์ป่าออกจากกัน มนุษย์จะปลอดภัยจากโรคระบาดและสัตว์ก็จะปลอดภัยจากการคุกคามของมนุษย์ "
ถามว่า จะมีผู้นำโลกยุคทุนนิยมบริโภคผูกขาดที่วันๆคิดได้แต่เรื่องผลประโยชน์ตน พวกพ้องตน และประเทศตน สักกี่คน ที่ได้อ่านได้รับรู้และรู้สึกรู้สากับเรื่องเช่นนี้?
ที่กล่าวถึงมาทั้งหมด เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆของ “โรคระบาดใหญ่เชิงกายภาพ” ที่เกิดขึ้นต่อมนุษย์ในยุค “เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด” เท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึง “โรคระบาดเชิงจิตภาพ” อย่างเช่นเรื่องของ “ความรุนแรง” ที่ระบบทุนได้กระทำต่อมนุษย์ส่วนใหญ่ของโลกในรูปแบบต่างๆ (ทั้งที่เห็นได้ชัดและแฝงเร้น)ให้ฟังกันเลย ก็สงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง และ ครั้งที่ 3 ที่กำลังเกิดแบบเห็นๆอยู่ในยุโรปนั่นไง!
เอ้ะ!แต่ทำไมเรื่องนี้มี “ยักษ์เขี้ยวยาวจอมหฤโหด” จากทวีปห่างไกลอย่างอเมริกาเหนือตัวนั้นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย(วะ!)!!!!