เดือนพฤษภาคมในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้น มีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ยังอยู่ในความทรงจำของพี่น้องประชาชนคือ พฤษภาทมิฬ และการรัฐประหาร แต่จะว่าด้วยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในมิติที่เป็นปฐมบทก่อน โดยขอยกเอาข้อเขียนของ ทวี สุรฤทธิกุล จากคอลัมน์ “ตะเกียงเจ้าพายุ”สยามรัฐ เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2564 มาเผยแพร่อีกครั้ง ความว่า “เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 มีมูลเหตุหลักเกิดจากความขัดแย้งของนายทหารที่ “เล่นการเมืองจนเลยเถิด” ที่มีการสั่งสมความขัดแย้งนี้มาระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ในช่วงการบริหารประเทศของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยได้เกิดปรากฏการณ์ “ดาวล้อมเดือน” ที่พลเอกเปรมได้ระดมทหารรุ่นต่าง ๆ มาเป็นฐานอำนาจอยู่ในทั้งรัฐบาลและรัฐสภา โดยในรัฐบาลพลเอกเปรมจะใช้บริการของนายทหาร จปร. 7 เข้ามาช่วยงานเป็นส่วนใหญ่ ที่โดดเด่นที่สุดก็คือพลตรีจำลอง ศรีเมือง ในขณะที่ในรัฐสภาซึ่งก็คือที่วุฒิสภา เต็มไปด้วยนายทหาร จปร. 5 ซึ่งนายทหารทั้ง 2 รุ่นนี้มีการแข่งขันกันที่จะขึ้นเป็นใหญ่ในกองทัพอยู่อย่างเข้มข้น โดยมีนายทหารรุ่นพี่ที่อยู่ในอำนาจในขณะนั้นคือ จปร. 1 ที่แบ่งแยกกันเป็น 2 ขั้ว สนับสนุนอยู่ในแต่ละฝ่าย โดยมีพลเอกเปรมอยู่ตรงกลาง เนื่องจากต้องการแรงสนับสนุนจากทหารทุก ๆ ฝ่ายในกองทัพ ที่เรียกว่า “เล่นการเมืองจนเลยเถิด” ก็คือหากย้อนอดีตไปอีกสักนิด คือหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทหารต้องถอยไปอยู่ข้าง ๆ เวที แต่แล้วก็คืนสู่อำนาจได้ในการรัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จากนั้นผู้นำทหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้กำกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2521 ให้ทหารยังคงกุมอำนาจอยู่ทั้งในรัฐบาลและรัฐสภา โดยวางแผนที่จะให้ผู้นำทหารเป็นนายกรัฐมนตรีและมีวุฒิสภาคอยค้ำยัน อย่างที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ซึ่งพอมีการเลือกตั้งในปี 2522 ก็เกิดผิดแผน เพราะพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ที่ทหารวางตัวไว้สืบทอดอำนาจให้กองทัพ เกิดไปเพลี่ยงพล้ำเกมในรัฐสภา เนื่องจากนายทหารที่คณะปฏิรูปฯแต่งตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ได้รวมกลุ่มกันไปสนับสนุนพลเอกเปรมให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ข้อมูลใหม่” ที่นายทหารเหล่านั้นปฏิเสธไม่ได้ นายทหารในกองทัพก็เกิดความร้าวฉานกันมาตั้งแต่บัดนั้น แม้แต่พลเอกเปรมก็เคยถูกปองร้ายอยู่หลายครั้ง ต่อมาภายหลังการไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกเปรมหลังการเลือกตั้งปี 2531 นายทหารหลาย ๆ คนก็กระจายกันไปอยู่ตามพรรคการเมืองต่าง ๆ และบางส่วนได้ร่วมอยู่ในรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ท่านก็เคยเป็นใหญ่ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม พอนายทหารรุ่นหลังบางคนไม่ได้เคารพยำเกรงท่าน ท่านจึงคิดที่จะจัดระเบียบกองทัพเสียใหม่ ด้วยการตั้งพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก มาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งตามข่าวแจ้งว่าจะให้เข้ามา “จัดแถว” นายทหารในกองทัพนั้นเสียใหม่ ทั้งนี้พลเอกอาทิตย์ก็เป็นนายทหารอีกคนหนึ่งที่มีความขัดแย้งกับนายทหารกลุ่ม จปร. 5 มาตั้งแต่ครั้งสมัยพลเอกเปรมมีอำนาจนั้นแล้ว จึงทำให้ทั้งพลเอกชาติชายและพลเอกอาทิตย์ต้องถูก “ไฮแจ็ค” จับกุมตัวขณะกำลังขึ้นเครื่องบินที่สนามบินกองทัพอากาศดอนเมือง ในเช้าวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ตามมาด้วยการทำรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ (บิดาของพลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก) จากนั้น รสช.ก็วางแผนที่จะสืบทอดอำนาจ โดยให้พรรคสามัคคีธรรมไปรวบรวม ส.ส.มาสนับสนุนให้พลเอกสุจิน คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้นายทหารที่ไปอยู่ในพรรคการเมือง คือ พลตรีจำลอง ศรีเมือง กับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ออกมาก่อม็อบขัดขวาง โดยการอดอาหารของพลตรีจำลองศรีเมือง ที่หน้ารัฐสภาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน จนพากันไปชุมนุมกันที่สนามหลวง และมาสิ้นสุดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 ที่พลตรีจำลองถูกล้อมจับ แล้วก็นำไปสู่การจลาจลอยู่หลายวัน จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 (พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร์ มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนารถบพิตร)ทรงเรียกให้ทั้งพลเอกสุจินดาและพลตรีจำลองมาเข้าเฝ้า จึงทำให้เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” นั้นสงบลง”