การประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ เสร็จสิ้นลงไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 3เม.ย.65 ที่ผ่านมานั้น นอกเหนือไปจากการประกาศศักยภาพ จะกวาดที่นั่งส.ส.เข้าสภาหินอ่อน ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 150 คน จาก บิ๊กป้อมพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรค แล้วต้องถือว่า วาระที่เรียกเสียงฮือฮา นั้นยังไม่ปรากฏ !
แต่ใช่ว่า ในการประชุมครั้งนี้จะไร้สีสันไปเสียทีเดียว เพราะมีการแต่งตั้ง อดีตนายทหาร ที่อยู่ข้างกาย และเป็นที่ไว้วางใจของพล.อ.ประวิตร ให้ทำหน้าที่คุมทัพในภาคอีสาน ด้วยกันถึง2คน คนแรกคือ พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ อนุกรรมการฝ่ายหารายได้ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด อดีตผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจํารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พล.อ.ประวิตร)
คนที่สอง คือ พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 โดยจะให้เข้ามามีบทบาทเป็นแม่ทัพภาคอีสานตอนบน
และว่ากันว่า ในความเป็นจริงแล้ว 2อดีตนายทหารที่พล.อ.ประวิตร วางตัวเอาไว้นั้นไม่ใช่เพิ่งเข้ามาเดินสายหรือทำงานการเมืองในระดับพื้นที่ หากแต่ทำงานอย่างเงียบๆมาโดยตลอด
นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติให้ สันติ พร้อมพัฒน์ นั่งในตำแหน่งเลขาธิการพรรคอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เจ้าตัวนั่งรักษาการณ์มาก่อนหน้านี้ และที่น่าสนใจไปกว่านั้น เก้าอี้แม่บ้านพรรคพลังประชารัฐตัวนี้ ก็เคยมีชื่อ สันติ ติดโผชิงที่นั่งมาด้วยแทบทุกครั้ง แต่ล่าสุดคือความชัดเจน ที่ไม่มีการพลิกโผหรือทำให้สันติ ต้องลุ้นเหมือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีมีรายงานว่า ภายในพรรคพลังประชารัฐเวลานี้แม้จะดูเหมือน ศึกสงบ แต่ละกลุ่ม แต่ละขั้วการเมืองภายในพรรค ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามมิตร ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กลุ่มของ เสี่ยเฮ้ง สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน หรือแม้แต่กลุ่มเมืองชล ที่มี สนธยา คุณปลื้ม เป็นหัวเรือหลัก ต่างพากัน พักยก ไปจนกว่า ศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะผ่านพ้นไปในราวปลายเดือนพ.ค.
เพราะอย่าลืมว่า ยังมีอีกหลายปัจจัย หลายเงื่อนไข ที่จะกลายเป็น แรงกดดันทางการเมือง ให้เกิดความเคลื่อนไหวตามมาระลอกใหม่
หากหลังจากที่ แม่บ้านพรรคคนใหม่ คือสันติ ยังไม่อาจแสดงฝีมือบริหารจัดการทุกความเป็นไปภายในพรรคได้
หาก ในอีกไม่นาน พรรครวมไทยสร้างชาติ อีกหนึ่งพรรคการเมืองที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ให้กลับมาเป็นนายกฯหลังการเลือกตั้ง เริ่มเปิดตัว บิ๊กเนม ในเดือนมิ.ย.เป็นต้นไป หรือคำตอบสุดท้ายของพล.อ.ประยุทธ์ ส่งสัญญาณไปที่พรรค
รวมไทยสร้างชาติ โอกาสที่บรรดาแกนนำและส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐ จะเริ่มก่อหวอด หันมากดดันกันเอง จนความขัดแย้งผุดขึ้นระลอกใหม่ ใช่ว่าจะมีเกิดขึ้นให้เห็น !