แม้นาทีนี้ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเลือกเล่นบทโลว์โปรไฟว์ ทิ้งระยะห่างจาก การเมือง ด้วยพยายามไม่เข้าคลุกวงใน แต่ดูเหมือนว่า ทุกความเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งในสนามเลือกตั้งกทม. ไปจนถึงการดำเนินงานของพรรคการเมืองที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นพรรคสาขา ของ พรรคพลังประชารัฐ ยังล้วนเชื่อมโยงกับ อนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ! วันนี้ เมื่อบรรดาผู้สมัครชิงเก้าอี้ ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ ได้ผ่านกระบวนการยื่นสมัครเสร็จสิ้นลงไปแล้วเมื่อวันที่ 31 มี.ค.65 ที่ผ่านมา การหาเสียงของผู้สมัคร จะเพิ่มดีกรีความเข้มข้นขึ้น ด้วยระยะเวลาที่เหลืออีกเกือบสองเดือน กว่าจะไปถึงวันหย่อนบัตร 22 มี.ค.65นี้ ทั้งนี้การเมืองสนามกทม. เพื่อเฟ้นหา พ่อเมืองกรุงเทพฯคนใหม่ ย่อมต้องได้คนที่สามารถทำงานกับ รัฐบาล ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ด้วยกันได้อย่างราบรื่นให้มากที่สุด การตอบคำถามของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็น ผู้จัดการรัฐบาล ประเด็นการเมืองสนามกทม.จึงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายพยายามอ่านสัญญาณ ไม่ได้เชียร์ใคร ไม่มีคนอยู่ในใจ และเคยบอกแล้วว่าใครจะมาเป็นผู้ว่าฯกทม.ก็ได้ ขอให้ทำงานร่วมกับรัฐบาลได้แล้วกัน (31 มี.ค.65) แน่นอนว่าการที่หลายคนอยากรู้ว่าพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะ หัวหน้าพรรคคือ พล.อ.ประวิตร เชียร์ใคร โอกาสที่รายนั้นจะ มีลุ้น เข้าวิน ชนะการเลือกตั้งเข้ามา ยิ่งจะมีสูง และยิ่งหาก 3ป มองการณ์ไกล ปูทางที่จะกลับเข้าสู่อำนาจหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า การวางตัว ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ ที่จะสามารถทำงานด้วยกันได้ คือโจทย์สำคัญ นอกจากสนามกทม.แล้วยังพบว่า นอกเหนือไปการมี พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคแกนหลักในการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งเพียงพรรคเดียว อาจยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้าใช้กติกาใหม่ นั่นคือ บัตร2ใบ เลือกพรรค กับเลือกคน ดังนั้น โอกาสที่พรรคพลังประชารัฐจะกวาดที่นั่งส.ส.เข้าสภาผู้แทนราษฎร มาได้เหมือนเมื่อการเลือกตั้งในปี 2562 ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย แม้ล่าสุดคณะกรรมการฯแก้ไขกฎหมายลูก 2ฉบับ จะมีมติเสียงข้างมาก เคาะให้บัตรเลือกตั้ง 2ใบแต่ใช้คนละเบอร์ จะกลายเป็นอุปสรรค สำหรับพรรคเพื่อไทย ไปไม่ถึง แลนด์สไลด์ ก็ตาม แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐแล้ว ยังต้องสร้าง พันธมิตร ขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นก่อนลงสนามเลือกตั้ง ทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็ก พรรคขนาดกลาง แต่ที่แน่ๆ คือการขับเคลื่อน พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่แม้จะมีการประชุมใหญ่พรรคเมื่อวันที่ 31 มี.ค.65 แต่ยังไม่มีการเปิดตัว บิ๊กเนม สร้างเซอร์ไพรส์ แต่อย่างใด เพราะประเมินแล้วว่า ยังมีเวลาไปจนถึงหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นในเดือนพ.ค.นี้ ให้ผ่านพ้นไปก่อน แม้นาทีนี้ยังไม่มีอะไร ที่เรียกว่า สะเด็ดน้ำ ! แต่อย่างน้อยที่สุดทุกคนต่างรู้กันดีแล้วว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ มีสถานะไม่ต่างไปจาก พรรคสาขา ของพรรคพลังประชารัฐ สุดแท้แต่ว่า ก่อนถึงวันลงสนามใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ ใครจะพลิกขึ้นมาทำหน้าที่ถือธงนำ ก็เท่านั้น !