แสงไทย เค้าภูไทย การมาของโอไมครอนทำให้หลายประเทศยกเลิกมาตรการคุมเข้มป้องกันการระบาด โดยหนึ่งในนั้นคือการสวมหน้ากากอนามัย การกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ เปิดเสรีกิจกรรมทางเศรษฐกิจนำโดยอังกฤษ ขณะที่เพื่อนบ้านไทย กัมพูชากับเมียนมากำลังจะเปิดประเทศเสรี โดยเมียนมาเตรียมเปิดประเทศเสรีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป ผู้เดินทางเข้าเมืองไม่ต้องกักตัว ส่วนกัมพูชา ยังไม่กำหนดวันเวลา อังกฤษนั้น นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ประกาศเมือต้นสัปดาห์ว่า อังกฤษจะเปิดระบบเศรษฐกิจเต็มรูปแบบเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เคยถูกล็อกดาวน์จนซบเซาไปเมื่อปีที่แล้ว โดยให้เหตุผลว่าโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ประจำฤดู ไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่และไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ได้ระบาดถึงจุดสูงที่สุด (peak) แล้ว ถือว่าสิ้นฤทธิ์ ต่อไปนี้ ชาวอังกฤษไม่จำเป็นสวมหน้ากากป้องกัน อีกต่อไปและไม่ต้อง work from home ทำงานที่บ้านแล้ว ก่อนหน้านี้ เขายกเลิกมาตรการเข้มงวดที่บังคับให้ประชาชนสวมหน้ากาก ในพื้นที่สาธารณะกลางแจ้ง แต่ยังคุมเข้มในบางพื้นที่ การที่เขาประกาศยกเลิกมาตรการป้องกันไวรัสเข้มงวดนั้น ก็จากการที่ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ โอไมครอนไม่มีอันตรายร้ายแรง และการฉีดวัคซีนครอบคลุมทั่วถึง ดูแล้วออกจะเสี่ยงอยู่มาก แต่การที่คนอังกฤษได้รับวัคซีนจากการฉีดเข็มกระตุ้น คือเข็มที่ 3 ถึง 36.6 ล้านคนและจากการติดเชื้อโอไมครอน ที่เปรียบเสมือนเชื้ออ่อนระดับวัคซีน กลายเป็นวัคซีนธรรมชาติ ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ สามารถต้านทานไวรัสได้ อย่างไรก็ดี มิใช่ว่าจะเลิกสวมแมสก์กันทั้งประเทศ บางแคว้น โดยเฉพาะสกอตแลนด์ยังคงกฎเข้มสวมแมสก์อยู่ แต่ก็กำหนดยกเลิกวันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป แต่ก็ใช่ว่าจะยกเลิกสวมแมสก์เสียทุกสถานที่ บางแห่งยังคงเข้มงวดให้สวมแมสก์กันอยู่ เช่นสนามบินฮีโธรว์ โรงพยาบาล สถานีรถไฟ ห้างสรรพสินค้าเช่นโลตัสยังคงเข้มงวดให้ผู้มาใช้บริการสวมแมสก์อยู่ สำหรับบนภาคพื้นทวีปยุโรป เดนมาร์กเป็นชาติแรกที่ยกเลิกการสวมแมสก์ ฝรั่งเศสยังให้สวมอยู่ในกรณีอยู่ในที่ร่มหรือปิดกั้น แต่ยกเลิกสวมในที่โล่งแจ้ง เช่นเดียวกันกับสเปนและอิตาลี นอกยุโรป สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ใช้กฎเดียวกันกับชาติยุโรป ขณะที่สหรัฐฯยกเลิกสวมแมสก์ทั้งในที่โล่งและที่ปิด แต่ยังคงแนะนำให้รักษาระยะห่างทางสังคมอยู่ แม้จำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันมากที่สุดในโลก 10 อันดับแรกจะเป็นชาติยุโรปถึง 9 อันดับ แต่ก็เชื่อว่าเชื้อที่ติด จะทำหน้าที่เสมือนวัคซีนคือกระตุ้นภูมิต้านทานมากกว่าทำร้ายคนถึงชีวิตเหมือนกับสายพันธุ์ดุก่อนหน้านี้ สำหรับบ้านเรา แม้ยอดผู้ติดเชื้อรายวันจะยังทรงตัวในระดับสูง บางวันขยับขึ้นเกิน 5 หมื่นราย เช่นเดียวกันกับจำนวนผู้เสียชีวิต ที่ทำพีก 88 รายเมื่อวันจันทร์ แต่โดยข้อเท็จจริง จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่สูงกว่าตัวเลขทที่ตรวจพบมาก ทั้งนี้เพราะมีผู้ติดเชื้อที่แสดงอาการเล็กน้อยคล้ายไข้หวัด หรือบางรายไม่มีอาการเลย ที่เชื่อว่ามีอยู่หลายหมื่นคนต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีการติดเชื้อที่ตรวจด้วยชุดตรวจไม่พบ ตรวจพบได้จากการตรวจเลือดเท่านั้น แม้ขณะนี้ ไวรัสโควิด-19 จะกลายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์ ที่ 5 และบางประเทศมีสายพันธุ์ที่ 6 แล้ว แต่สายพันธุ์กลายพันธุ์ ( Variant) ใหม่มีฤทธิ์ไม่รุนแรงนัก ผู้ติดเชื้อมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา บางรายไม่กินยาก็หายเองได้ สำหรับผู้ที่อาการรุนแรงหรือเสียชีวิตนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัวและไม่ฉีดวัคซีน เฉลี่ยต่อจำนวนผู้ติดเชื้อราว 0.72% ทำให้อัตราครองเตียงต่ำคือราว25.8% จำนวนผู้ติดเชื้อและรักษาหายกับจำนวนผู้รับการฉีดวัคซินเข็มกระตุ้น(booster) รวมกันแล้วคิดเป็นสัดส่วนเกิน 70% ของจำนวนประชากรไทย ถือว่ามีภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ไวรัสทำอะไรไม่ได้ ถึงเวลานั้น ก็น่าจะยกเลิกมาตรการคุมเข้มต่างๆได้ ไม่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากันอีกต่อไป