สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานอ้างความเห็นของน.พ.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ที่มองว่าการระบาดของโรคโควิด-19 ยังห่างไกลจากจุดสิ้นสุด หลังครบรอบ 2 ปีของการระบาดใหญ่เมื่อวันที่ 11 มีนาคมปี 2563
สำหรับประเทศไทยจากสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาสที่โควิดจะกลายเป็นศูนย์นั้นห่างไกลเต็มทน และยากจะหวนกลับไปสู่จัดนั้น แม้จะมีแนวโน้มในการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า โดยเฉพาะมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว การพิจารณาปรับมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร หลังจากหลายประเทศมีนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น
ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุข โดยนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงว่า การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ 99.7% เป็นสายพันธุ์โอมิครอน ขณะที่เมื่อแยกย่อยระหว่างวันที่ 5-11 มีนาคม 1,882 ตัวอย่าง พบว่าเป็น BA.2 เป็น 67.6% และ BA.1 สัดส่วน 32.4% ซึ่งขณะนี้ทุกเขตสุขภาพทั้ง 13 เขตสุขภาพทั่วประเทศมี BA.2 มากเกินครึ่ง ยกเว้นเขตสุขภาพที่ 1 และเขตสุขภาพที่ 11 ซึ่งไม่ได้แปลกอะไร เพราะการเก็บตัวอย่างเป็นการสุ่ม แต่เทรนก็จะเป็น BA.2 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนสายพันธุ์ย่อย BA.3 ยังไม่พบในประเทศไทย
ทั้งนี้ BA.2 ส่วนใหญ่ พบประมาณ 4 รายที่กำลังวิเคราะห์รายละเอียดว่าอาจเข้าข่ายหรือมีโอกาสเป็น BA.2.2 แต่ด้วยจีเสสยังไม่ได้กำหนด รายละเอียด จึงต้องติดตามใกล้ชิด ทั้งนี้ ยังไม่ต้องวิตกกังวล เพราะยังไม่มีสัญญาณอะไรน่ากังวล สิ่งสำคัญต้องเฝ้าระวังเพื่อตอบคำถาม 3 ข้อว่า แพร่เร็วกว่าหรือไม่ รุนแรงมากขึ้นทำให้เสียชีวิตมากขึ้นและหลบภูมิคุ้มกันหรือไม่ ตรงนี้ต้องใช้ข้อมูลมากกว่านี้ หากการกลายพันธุ์ไม่กระทบ 3 ส่วนนี้ก็อาจเป็นการกลายพันธุ์ทั่วไป ขอให้มั่นใจว่ากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เฝ้าระวังตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม การพบการกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ในประเทศไทย ท่ามกลางการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ การยกระดับมาตรการในการป้องกันตนเองแม้อาจรู้สึกเบื่อหน่ายกับระยะเวลาที่ต้องอดทนกับมาตรการทางด้านสาธารณสุข แต่ยังคงจำเป็นที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังสูงขึ้น โดยเฉพาะการสัมผัสกับกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เพราะโอกาสที่โควิดจะกลับไปเป็นศูนย์นั้นเลือนลางเต็มทน