รศ. ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยเข้าสู่โหมดนับถอยหลัง จะสิ้นสุดไปตามวาระหรือก่อนวาระ ก็จำต้องมีการปูทางล่วงหน้ากันก่อนเพื่อก้าวไปสู่ฉากหรือบทใหม่ทางการเมือง นักการเมืองและพรรคการเมืองต่างพยายามกรุยทางพร้อมกับ ‘รีเซต’ (reset) ตนเอง ปรับกลยุทธ์ทางการเมือง รวมทั้งนโยบายและการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อป้องกันมิให้ต้องตกอยู่ในอาการ ‘อัพเซต’ (upset) หรือผิดหวัง หากต้องพลาดพลั้งเกมการช่วงชิงพื้นที่ทางการเมืองหรือเก้าอี้ในสภา
เพราะหมุดหมายปลายทางของนักการเมืองและพรรคการเมืองคือ “อำนาจทางการเมือง”
การแสวงหาอำนาจทางการเมืองเป็นเกมและการต่อรองที่ดุเดือดและร้อนแรงยิ่งขึ้นเมื่อเวลางวดเข้ามา เกมและการต่อรองทางการเมืองที่ต้องการเป็นผู้ชนะเท่านั้น ทำให้นักการเมืองและพรรคการเมืองไม่เคยที่จะลดราวาศอกต่อกัน ความต้องการชนะ ชนะ และชนะ เพื่อเป็นฝ่ายกุมอำนาจ บริหารอำนาจ และใช้อำนาจเป็นเครื่องมือไปสู่การกระทำหรือดำเนินการสิ่งอื่น ๆ เพื่อชื่อเสียง เงินทอง บริวาร และอื่น ๆ จึงทำให้การเมืองวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น การซื้อสิทธิขายเสียง การทรยศหักหลัง การหลอกลวง การไร้มิตรไร้ศัตรูที่แท้จริง การสาดโคลนใส่ร้ายป้ายสี
การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เป็นต้น
‘อำนาจ’ เป็นคำที่ถูกนำไปใช้ในทางลบกันมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ‘อำนาจ’ เป็นคำที่มีความเป็นกลาง ๆ จะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่ว่าผู้ที่ได้ครอบครองว่าจะใช้ ‘อำนาจ’ นี้เพื่อสร้างสรรค์หรือว่าทำลาย...
ดังนั้น หากเมืองไทยได้นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ดีเข้ามามีอำนาจบริหารประเทศ ตระหนักถึงความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ก็จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีเป็นประโยชน์ให้กับบ้านเมือง ยิ่งสถานการณ์ปัจจุบันประเทศต้องการนักการเมืองที่ดีและปราดเปรื่องเข้ามาผลักและดึง (push & pull) ประเทศให้เดินต่อได้ ก้าวพ้นวิกฤตซ้อนวิกฤต หรือปัญหาบ้านเมืองนานัปการ เช่น โควิด-19 เศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะเงินเฟ้อ หนี้สินรุงรัง วิกฤตพลังงาน น้ำมันแพง สินค้าขึ้นราคา ผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ฯลฯ ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยทั้งแผ่นดิน
กิจกรรมและความวุ่นวายต่าง ๆ จากนักการเมืองและพรรคการเมืองในห้วงเวลานี้ล้วนมีนัยสำคัญทางการเมืองทั้งสิ้น!!!
ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง การนัดกินข้าวร่วมกันของพรรคการเมืองต่าง ๆ การเชิญพรรคเล็กร่วมรับประทานอาหารค่ำของนายกฯประยุทธ์ การจัดโครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชน รับฟังปัญหาประชาชนทั่วไทย ฯลฯ ก็คือการเช็กเสียงก่อนฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตรวจสอบเสถียรภาพรัฐบาล ตรวจสอบจุดอ่อนการบริหารราชการ ฯลฯ
หากนายกฯประยุทธ์ไม่ชิง “ยุบสภา” ก่อนเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร 22 พ.ค. นี้ นายกฯประยุทธ์มีสิทธิ์ถูกน็อกกลางเวทีสภา แพ้เสียงโหวตไม่ไว้วางใจ เพราะถ้าพรรคฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วจะหมดสิทธิ์ยุบสภาทันที เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 กำหนดไว้ว่า เมื่อฝ่ายค้านยื่นญัตติ รัฐบาลจะ “ยุบสภา” หนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้
พรรคพลังประชารัฐคือ ตัวแปรสำคัญทางการเมือง ความแตกร้าวภายในพรรคพลังประชารัฐแบบแหลกละเอียด ส่งผลต่อการลงมติกฎหมายสำคัญ ๆ ที่มีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล หากรัฐบาลขาดเสถียรภาพ การแก้ปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมืองจะสำเร็จยาก เพราะติดปัญหาทางการเมืองโดยไม่จำเป็น
วาระการดำรงตำแหน่งนายกฯประยุทธ์จะครบ 8 ปีในวันที่ 23 ส.ค.นี้ จำเป็นต้องมีการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน ฝ่ายค้านพยายามชี้ให้เห็นว่าเมื่อได้คนที่ไม่มีคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้าม มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้บ้านเมืองถดถอยเละเทะ จึงต้องจัดเวทีรับฟังจากประชาชน
ทุกเหตุการณ์และทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนสนามการเมืองไทยเวลานี้ คือความวุ่นวายทางการเมืองจริงหรือไม่? แต่ที่แน่ ๆ นั้นคือ สัญญาณการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยกำลังเข้าโหมดร้อนระอุ ซึ่งบรรดานักการเมือง นักวิเคราะห์การเมือง และคอการเมืองทั้งหลายต่างเดาเกมการเมืองนี้ไม่ยากครับ...
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ...คิดอย่างไรกับการเมืองไทยในวันนี้ วุ่นวายหรือไม่?
ติดตามผลโพลของสวนดุสิตโพล สุดสัปดาห์นี้กันครับท่าน...