เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เราอาจตื่นเต้นกับภาวะ “โลกาภิวัตน์” และเตรียมตัวจะเป็นโลกาภิวัตน์บ้าง ก้าวเดินมาถึงปัจจุบัน ในวิกฤติที่ผ่านมาก็ยังมีด้านดี ที่ชะลอการเป็นโลกาภิวัตน์ของสังคมไทย บัดนี้วิกฤติเริ่มคลี่คลาย ยุทธศาสตร์โลกภิวัตน์กำลังกลับมาในนาม “ประเทศไทย 4.0” เมื่อยี่สิบปีก่อน กระแสสังคมด้านหลักพูดกันแต่ด้านดี ๆ ของการเปลี่ยนเป็นโลกาภิวัตน์   เช่นว่าจะเป็นโอกาสให้ประเทศเล็กประเทศน้อยมีโอกาสพัฒนาก้าวหน้า  สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น   “ทุน” จะเคลื่อนไหลอย่างเสรีเพราะโลกไร้พรมแดน   อันจะช่วยให้ประเทศเล็กประเทศน้อยพัฒนาเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่สัจธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างทุกเรื่องทุกราว   มี “คู่ตรงกันข้าม” ของมัน  โลกาภิวัตน์มีข้อดีต่อประเทศเล็กประเทศน้อย  ก็ต้องมีข้อเสียด้วยเช่นกัน จะเกิดผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน   มีปัจจัยชี้ขาดมากมาย                   ปัจจัยเหล่านั้น  นับวันสลับซับซ้อนมากขึ้น  จนยากจะตีแผ่ให้มวลชนเข้าใจกันได้ง่าย ๆ มีเรื่องที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดอยู่ประการหนึ่ง  คือเมื่อ  “สงครามเย็น” ยุติลงแล้ว  โลกจะสงบร่มเย็นขึ้น    ภายหลังสงครามเย็น  โลกเคลื่อนเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์อย่างรวดเร็ว  แต่สถานการณ์ในสองทศวรรษที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า   แม้สงครามเย็นจะยุติลง   แต่สงครามรูปแบบอื่นก็ยังรุนแรงเช่นเดิม   หรือกระทั่งสรุปได้ว่าร้ายแรงกว่าเดิมเนื่องจากเทคโนโลยีอาวุธก้าวหน้าไปมาก               สงครามรูปแบบใหม่นั้นคือ  สงครามเพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่อิทธิพลของมหาอำนาจขั้วประเทศทุนนิยมศูนย์กลาง    ในห้วงจังหวะที่ค่ายสังคมนิยมเดิมอ่อนแอ   มหาอำนาจขั้วทุนนิยมศูนย์กลางได้ก่อสงครามในยุโรปตะวันออกซึ่งฝ่ายสหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะ   ติดตามมาด้วยสงครามตะวันออกกลาง อิรัก , อัฟกานิสถาน แต่ครั้งนี้สหรัฐอเมริกายังติดปลักนี้อยู่   แม้ว่าจะกระตุ้นกระแสอาหรับสปริงส์ขึ้น ล้มผู้ครองอำนาจรุ่นเก่าไปได้หลายประเทศ  แต่สถานการณ์ก็ยังเป็นอันตรายต่อค่ายสหรัฐอเมริกาอยู่ ดังเช่น เกิดกลุ่ม “รับอิสลาม” , เกิดสงครามกลางเมืองในซีเรีย , เกิดสงครามเงียบไม่มีข่าวระหว่างซาอุดิอาระเบียกับเยเมน                 ภาคพื้นตะวันออกกลางยังไม่ทันเรียบร้อยดี  สหรัฐอเมริกาก็จำเป็นต้องดำเนินยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนจริงจังมากขึ้น    ปัญหาความตึงเครียดระหว่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน กับจีนในเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล  ยกระดับสูงขึ้นมาก  อีกทั้งยังขยายตัวลุกลามมาถึงชาติอาเซียนด้วย   เมื่อพิเคราะห์เรื่องนี้ร่วมกับสถานการณ์ในยูเครนแล้ว  เราอาจกล่าวได้ว่า   “สงครามเย็น”รอบใหม่เกิดขึ้นแล้ว ค่ายสังคมนิยมเดิมได้แก่ รัสเซียกับจีนเข้มแข็งขึ้นมาก เป็นเหตุให้ค่ายสหรัฐอเมริกาต้อง “รุก” มากขึ้น    เรื่องเหล่านี้มีผลต่อประเทศไทยหรือไม่ ?   ตอบว่ามีอย่างแน่นอน.....                 ในขณะนี้  รัฐบาลประเทศทุนนิยมศูนย์กลางแสดงท่าที  เช้ามา “ยุ่ง” กับปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศไทยอย่างชัดแจ้งมากขึ้น    เราต้องเข้าใจว่าพวกเขามีจุดยืนรักษาผลประโยชน์ของพวกเขา ในทางยุทธศาสตร์การเมืองการทหารระดับโลก  ก็มีตัวอย่างเช่น  อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น  แสดงความเป็นห่วงชัดเจนว่า   กลัวไทยจะหันไปพึ่งจีนมากขึ้น  จึงเรียกร้องให้สหรัฐฯแสดงบทบาทช่วยรัฐบาลไทยมากขึ้น  สหรัฐเองก็ต้องการสร้างแนวฐานทัพเรือปิดล้อมจีนให้เข้มแข็ง  จึงต้องการใช้ฐานทัพอู่ตะเภาของไทย                   ในทางผลประโยชน์ของอภิทุนบรรษัทข้ามชาติ  ก็ชัดเจนว่า   ดินแดนอาเซียนเป็นแหล่งพลังงานจำนวนมหาศาล   ที่อภิทุนแย่งกันเข้าครอบครอง ประเทศทุนนิยมศูนย์กลางจึงใส่ใจกับสถานการณ์ในประเทศไทยมาก  และมีทีท่า “เลือกข้าง” ชัดเจน  จนท่าทีของนักการเมืองชาติเหล่านั้นบางรายใกล้จุดล้ำเส้นขั้น “ก้าวก่าย” กิจการภายในของประเทศไทยเรา   เรื่องนี้ชาวไทยควรติดตามศึกษาให้เข้าใจด้วย   จะได้ช่วยกันกำหนดทิศทางการพัฒนาของไทยเราได้ถูกต้อง