สถานการณ์ตึงเครียดที่ยูเครน ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าจะซ้ำเติมเศรษฐกิจ และปัญหาค่าครองชีพ โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านจิตวิทยาต่อราคาน้ำมัน โดยเฉพาะสถานการณ์ของประเทศไทย ที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว ตามรายงานของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2564 ขยายตัว 1.9% ทำให้ตลอดปี 64 ขยายตัว 1.6% มูลค่า 16.2 ล้านล้านบาท (506,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) จีดีพีต่อหัวเฉลี่ย 232,176 บาทต่อคนต่อปี (7,255.5 เหรียญฯ ต่อคนต่อปี) ส่วนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 1.2% และขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 2.2% ของจีดีพี ทั้งนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 1.2% และดีขึ้นจากปี 2563 ที่ลดลงถึง 6.2% เพราะไตรมาส 4/2564 มีการเปิดประเทศแบบไม่กักตัว และไม่จำกัดพื้นที่ (Test & Go) ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าไทย 342,024 คน มูลค่าส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 18.8% การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน เพิ่ม 0.3% และการลงทุนเพิ่ม 3.4% ส่วนด้านการผลิต สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงเพิ่ม 1.4% สาขาการผลิตอุตสาหกรรม เพิ่ม 4.9% และสาขาการขายส่งและการขายปลีก เพิ่ม 1.7% ขณะที่สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่ง เพิ่ม 14.4% และ 2.9% ตามลำดับ ส่วนปี 2565 สภาพัฒน์คาดว่าจีดีพีจะขยายตัว 3.5-4.5% มีค่ากลางที่ 4% โดยเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นในปี 2565 ไม่ได้มีตัวขับเคลื่อนตัวใดตัวหนึ่งเป็นพระเอก แต่ดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ควบคู่กับการกระจายวัคซีน ขณะที่การส่งออก การเบิกจ่ายภาครัฐขยายตัว มีภาคท่องเที่ยวเข้ามาเติมเต็ม และการบริโภคในประเทศ ตลอดจนการลงทุนภาครัฐและเอกชนดีขึ้น สำหรับปี 2565 ที่คาดขยายตัว 3.5-4.5% ได้ประมาณการมูลค่าส่งออกขยายตัว 4.9% การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.5% และ 3.8% ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐขยายตัว 4.6% เงินเฟ้อ 1.5-2.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.5% อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล คาดลดลง 0.2% เพราะการใช้จ่ายจำนวนมากเกิดจากการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในปี 2564 วงเงิน 270,000 ล้านบาท สัดส่วน 1.7% ของจีดีพี ซึ่งมาจากเงินกู้โควิด รวมกับงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็น และงบกระทรวงสาธารณสุข ยังไม่รวมเงินกู้โควิดที่นำไปซื้อวัคซีน ค่าเสี่ยงภัยบุคลากรทางการแพทย์ และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) อีกกว่า 100,000 ล้านบาท ส่วนปี 2563 ใช้ค่ารักษาผู้ป่วยโควิด 190,000 ล้านบาท เมื่อรวม 2 ปี ใช้ค่ารักษา 460,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงยังคงเป็นเรื่องของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัวโควิด การกลายพันธุ์ของไวรัส เงินเฟ้อ ภาระหนี้สินเอกชนและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง สภาพัฒน์จึงแนะนำว่าต้องให้ความสำคัญกับปัญหาหนี้ครัวเรือน และเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งธนาคารกลางหลายประเทศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอเงินเฟ้อ ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงพิจารณาปัจจัยเสี่ยงจากความเปราะบางทางเศรษฐกิจไทยด้วย ขณะที่สภาพัฒน์มองว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ต้องให้ความสำคัญกับการรักษาระดับการบริโภคในประเทศ ส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนเพิ่ม เร่งรัดโครงการขอส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการลงทุนจริง มีมาตรการรักษาระดับการจ้างงานเพื่อช่วยสร้างอาชีพให้กับแรงงาน เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ในปีนี้ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาหนี้สิน โดยประกาศให้เป็นปีแห่งการแก้หนี้ ซึ่งคาดหวังว่าเป็นเครื่องมือที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ