หากเป็นไปตามการคาดการณ์ของ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 หรือเบี่ยงเบนกว่านั้นราวหนึ่งสัปดาห์ จะเป็นช่วง “พีค” ของไวรัสกลายพันธ์สายพันธุ์ โอไมครอน
โดยพิจารณาจากภาพรวมของโลก ที่ใช้เวลาขึ้นสู่ช่วงพีคราว 37 วัน แต่อาจมีความแตกต่างระหว่างบริบทของประเทศ และนับจุดเริ่มอยู่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขาขึ้นชัดเจน
ก่อนหน้านี้แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. กล่าวว่า สถานการณ์บ้านเราการติดเชื้อโอไมครอนยังอยู่ที่ประมาณ 80% และอีก 20% เป็นเชื้อเดลตา ดังนั้นจะสรุปว่าการติดเชื้อโอไมครอนไม่มีความรุนแรง คงวางใจไม่ได้ ยังต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่ามีข้อมูลเปรียบเทียบให้เห็นว่าอัตราการป่วยตาย ของสายพันธุ์โอไมครอน ลดลงมากกว่าสายพันธุ์เดลตา อย่างแน่นอน เพราะในช่วงสายพันธุ์เดลตาจะอยู่ระหว่าง 1 ถึง 1.5 เปอร์เซ็นต์ เราคงไม่อยากให้มีการป่วยตาย ถึงแม้ว่าจะน้อยลง ส่วนใหญ่ผู้ที่เสียชีวิตก็ยังอยู่ในกลุ่ม 608 หรือกลุ่มเสี่ยงอยู่นั่นเอง กลุ่มเสี่ยงจึงเป็นกลุ่มที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษ และมีมาตรการในการป้องกันอย่างเช่นงวด ไม่ให้เกิดการติดเชื้อได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้น แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความพยายามบิดเบือนข้อมูลให้ประชาชนหลงเข้าใจผิดว่าจะมีปลดโควิดจากการรักษาฟรี เรื่องนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ยืนยันว่ากรณีการนำโรคโควิด 19 ออกจากบริการ UCEP (ยูเซ็ป) หรือการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่นั้น ไม่ได้หมายความว่ายกเลิก แต่จะทำให้โควิด-19 เป็นโรคปกติ ไม่ใช่โรคฉุกเฉิน หากใครติดโควิด-19 แล้วมีอาการหนักสามารถเข้ารักษาฉุกเฉินได้ในสถานพยาบาลทุกที่ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสปสช.ดูแลครบ สิทธิบัตรทองใช้ได้ทุกที่อยู่แล้ว การไปแปลความว่าจะยกเลิก ไม่จ่าย ไม่ดูแลนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ ถึงอย่างไรรัฐก็จ่ายตามสิทธิ์ที่ทุกคนมีอยู่ ใครฉุกเฉินหรือมีอาการหนัก เรารักษาอยู่แล้ว ไม่ใช่โควิด-19 อย่างเดียว
ดูเหมือนว่า ปัญหาของการจัดการกับการแพร่ระบาดของโควิดในทุกระลอกนั้น จะมีปัญหาเดียวกันหมด ปัญหาหนึ่งนั่นก็คือ ข่าวปลอม และข่าวบิดเบือน ที่สร้างความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนให้กับสังคม และอาจส่งผลร้ายต่อประชาชนทำให้ผู้ที่มีอาการหนักไม่กล้าเข้ารับการรักษา ดังนั้นโปรดช่วยกันส่งต่อข่าวสารที่ถูกต้อง เป็นจริง เพื่อมนุษยธรรมเถิด