รอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล มาขย่ม บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้อย่างถูกที่ ถูกเวลาเสียจริงๆ เพราะหาก พรรคภูมิใจไทย ไม่เลือกจังหวะนี้เพื่อ บีบ พล.อ.ประยุทธ์ และ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้เสนอวาระการต่อสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้าสู่การพิจารณาของครม. เพื่อให้ที่ประชุมเห็นชอบแล้ว จะไปเลือกเอาห้วงไหน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอาการ ซวนเซ หวิดจะเจียนอยู่ เจียนไปเช่นนี้ แต่การดึงที่ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.อนุพงษ์ เลือก ถอย เบรกวาระร้อนๆเอาไว้ก่อน แล้วรอจังหวะ พูดจาหารือกันให้สะเด็ดน้ำว่าที่สุดแล้ว เรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว จะเดินหน้ากันต่อไปทิศทางไหน ย่อมดีกว่าที่จะ หัก เพราะอย่างน้อยที่สุดเมื่อ 7รัฐมนตรี ของพรรคภูมิใจไทย ได้สำแดงฤทธิ์ ก็ต้องเปิดพื้นที่ ให้ได้แสดง ทว่าพระศุกร์เข้า พระเสาร์ ยังมาแทรกซ้ำ ! เมื่อปัญหา สภาฯล่ม กำลังกลายเป็นสัญญาณร้ายที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ ฝ่ายสนับสนุน ทั้งในและนอกสภาฯ ต้องคิดให้หนัก ว่าจะฝืนไปต่อกันอย่างไร เพราะหาก วิปรัฐบาล ที่มี นิโรธ สุนทรเลขา คนที่นายกฯส่งเข้าไปนั่ง ประธานวิปรัฐบาล ยังคุมเกมในสภาฯไม่ได้ โอกาสที่จะส่ง กฎหมายสำคัญ เข้าสู่การพิจารณา ก็ดูจะเป็นเรื่องยากลำบากไม่ใช่น้อย วันนี้ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านแทบไม่ได้สนใจว่า กระแสสังคมจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสภาฯล่ม กับการทำหน้าที่ และความรับผิดชอบของส.ส.กันอย่างไรอีกต่อไป นอกเสียจากมุ่ง ล้มนายกฯ ให้ได้ด้วยการโจมตี จุดอ่อน ที่สุดของรัฐบาล ด้วยการอ้างว่าใช้ปัญหาสภาฯล่มเพื่อ สั่งสอน รัฐบาล บีบให้พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภาฯ เท่านั้น ! อย่างไรก็ดี ก่อนปิดสมัยประชุมฯ วันที่ 28 ก.พ.นี้ แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ รัฐมนตรี ในปีกของตัวเอง จะต้อง ฝ่าด่าน ศึกซักฟอกจาก พรรคฝ่ายค้าน ในญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ก.พ.65 เพราะถึงแม้จะไม่มีการลงมติ ใช้ผลคะแนน ไว้วางใจ เป็นวีซ่าเพื่อให้นายกฯและรัฐมนตรีได้รับ ความไว้วางใจ ได้ อยู่ต่อ ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า เมื่อในความเป็นจริงที่พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเผชิญคือการถูกบีบจากทุกทาง ทั้งจาก ฝ่ายค้าน จาก ศัตรู ที่มองเห็นอย่าง 18 เสียง ในสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และจาก พรรคร่วมรัฐบาล อย่างภูมิใจไทย ที่มีอยู่ 59 ส.ส.จะส่งสัญญาณ ออกมาในทิศทางไหน !