ในที่สุดการฉีดวัคซีนก็เดินทางมาถึงจุดที่เปราะบางจุดหนึ่งของสังคม ที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องให้การยินยอมแก้วตาดวงใจของพวกเขา ในการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันอันตรายจากการติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ในกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 5-11 ปี ซึ่งเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยเริ่มจากกลุ่มที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคก่อน ซึ่งจากข่าวผลข้างเคียงวัคซีนต่างๆที่ผ่านมา ทำให้บรรดาผู้ปกครองวิตกกังวล ปู่ย่าตายายที่เคยผ่านการฉีดวัคซีนมาแล้ว ก็ยังเป็นห่วง ไม่อยากให้ลูกหลานฉีดวัคซีนไปด้วย อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการฉีดวัคซีนวันแรกที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา มีรายงานจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ว่า ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีผู้ปกครองสมัครใจให้บุตรหลานฉีดวัคซีน ประมาณ 150 กว่าคน จากการติดตามอาการหลังการฉีดโดยให้ผู้ปกครองรายงานผ่านระบบ ที่สถาบันสุขภาพเด็กฯ จัดทำไว้ พบว่า ทุกรายอาการปกติ บางรายมีอาการไข้ หรือปวดบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ตามปกติเหมือนในผู้ใหญ่ ยังไม่พบอาการสำคัญที่น่ากังวล ทางด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่องวัคซีนโควิด-19 ในเด็ก (ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต 1 กุมภาพัธ์ พ.ศ. 2565) ว่า “1. เด็กควรได้รับวัคซีนหรือไม่:โรคทุกโรคที่ป้องกันได้ ควรได้รับการป้องกัน เด็กไม่มีภาระโรคโควิด-19 อาการน้อยมาก จะไม่รุนแรงเท่าผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ยกเว้นเด็กที่มีโรคอื่นร่วมด้วย ภูมิต้านทานต่ำ เมื่อเป็นโรคจะรุนแรงเด็กเมื่อติดเชื้อไม่รุนแรง จะนำเชื้อไปสู่บุคคลในครอบครัว ทำให้เกิดการระบาดได้ 2. ควรได้รับเมื่อไหร่:ควรได้รับเป็นกลุ่มสุดท้ายของครอบครัว ทุกคนในบ้านต้องได้รับวัคซีนให้ครบก่อน (ครบหมายถึงกระตุ้นเข็ม 3 ด้วย) แล้วจึงให้ความสำคัญมาที่เด็ก เมื่อมีวัคซีนสำหรับเด็กให้ใช้แล้ว 3. ควรรับวัคซีนอะไร:วัคซีนใช้ในเด็ก ขณะนี้ทั่วโลกมีใช้อยู่ 2 ชนิดคือ mRNA (Pfizer) และเชื้อตาย (Sinovac, Sinopharm) สำหรับประเทศไทย ขณะนี้ อ.ย. (Thai FDA) ได้ขึ้นทะเบียนให้ใช้เฉพาะ Pfizer ในเด็กตั้งแต่ 5 ขวบ ขึ้นไป ส่วนเชื้อตายกำลังรอขึ้นทะเบียนอยู่ ไม่ทราบว่าจะได้เมื่อไร แต่เชื่อว่าไม่นาน เพราะขณะนี้มีการให้ในเด็กหลายร้อยล้านโดส ให้ในเด็กตั้งแต่ 3 ขวบปีขึ้นไป ในจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (มาเลเซีย อินโดนีเซีย เขมร etc) ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา 4. ควรให้อย่างไร:ระยะห่างของวัคซีนเข็ม 1 และ 2 ยิ่งห่างยิ่งดี ภูมิต้านจะสูงกว่าถ้าให้ห่าง ถ้าห่างเกินไปกลัวว่าจะติดโรคเสียก่อน ถ้าโรคนั้นกำลังระบาดหนัก โดยทั่วไประยะห่างเข็ม 1 และ 2 ให้ได้ตั้งแต่ 3 สัปดาห์ จนถึง 12 สัปดาห์ และที่เหมาะสำหรับไทย เข็ม 1 และ 2 จึงเป็น 8 สัปดาห์ แต่สามารถยืดหยุ่นได้ ถ้าติดธุระหรือไม่พร้อมให้ยืดออกไปได้ 5. ฉีดไขว้ได้หรือไม่:ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลในเด็ก และวัคซีนประเทศไทยขณะนี้ อ.ย. ก็ยังให้เพียงชนิดเดียว ในอนาคตถ้ามีข้อมูลเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ก็มีความเป็นไปได้ 6. ควรมีการกระตุ้นเข็ม 3 หรือไม่:ขณะนี้เด็กเล็กเพิ่มจะเริ่มเข็มที่ 1 ส่วนในเด็กโตก็ได้รับ Pfizer ไปแล้ว 2 เข็ม วัคซีน เข็ม 3 ควรกระตุ้น ที่ 6 เดือน ยกเว้นในอนาคต ถ้ามีเชื้อตาย ฉีด 2 เข็มแล้ว เข็ม 3 ก็สามารถกระตุ้นด้วย mRNA ได้ หลัง 1-3 เดือน ภูมิต้านทานจะกระตุ้นได้สูงมาก (ข้อมูลในผู้ใหญ่) การฉีดวัคซีน ไม่มีการบังคับ เป็นการฉีดด้วยความสมัครใจ การตัดสินใจอยู่ที่ผู้ปกครอง โดยได้รับข้อมูลที่ถูกต้องมาแล้ว” ถือเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้ปกครอง ในการปกป้องแก้วตาดวงใจ ผู้เป็นอนาคตของชาติ