พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่าแม้กลุ่มของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อมส.ส.อีก 20 คน ถูกขับออกจากพรรคไป จะไม่ทำให้มีปัญหาเรื่องเสียงสนับสนุนรัฐบาล หากมองในเชิงยุทธศาสตร์การเมืองในภาพใหญ่ พรรคพลังประชารัฐกำลังแตกกลุ่มออกเป็นพรรคเล็ก แยกกันตี ร่วมกันเดิน ไม่กี่วันชื่อของพรรคเศรษฐกิจไทยก็ติดหู เป็นกระแสมากกว่าพรรคการเมืองใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้เกิดการต่อรองทางการเมืองภายในรัฐบาลสูงขึ้น คนการเมืองมักนำพรรคพลังประชารัฐไปเปรียบเทียบกับพรรคสามัคคีธรรมในอดีต ที่อาจเดินตามรอย ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดูพรรคสามัคคีธรรม เป็นพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาหลังรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ที่เป็นการรวบรวมนักการเมืองจากหลายพรรค และบุคคลที่ใกล้ชิดกับรสช.โดยมีนายณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นหัวหน้าพรรค หลังการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2535 พรรคสามัคคีธรรม ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 มีส.ส.จำนวน 79 คน จากจำนวน 360 ที่นั่ง จัดตั้งรัฐบาลผสม5 พรรค ร่วมกับพรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทยและพรรคราษฎร แต่นายณรงค์ไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำจากความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด แม้จะมัการปฏิเสธข่าวดังกล่าวว่าข่าวนี้เป็นการจงใจสร้างเรื่องขึ้นเพื่อกีดกันไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีที่สุดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ได้เลือกเสนอชื่อ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรีแทน ทำให้เกิดกระแสต่อต้านจากสังคม และเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งสื่อมวลชนได้ตั้งฉายาให้พรรคการเมืองที่สืบทอดอำนาจทหารว่า พรรคมาร และพรรคฝ่ายตรงข้ามเป็นพรรคเทพ จนกลายเป็นชนวนนำไปสู่การประท้วง เดินขบวน จนนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และพล.อ.สุจินดาลาออก และนายอานันท์ ปันยารชุน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่งก่อนจัดการเลือกตั้งในวันที่ 13 กันยายน 2535 ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีพรรคสามัคคีธรรมลงเลือกตั้ง โดยพรรคสามัคคีธรรมได้เปลี่ยนชื่อพรรคเป็นพรรคเทิดไท ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เพียงเดือนเดียวคณะกรรมการบริหารพรรคได้ลาออกทั้งคณะ และต่อมาได้ยุบพรรคในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน หากดูอดีตแล้ว ย้อนกลับมาพิจารณาปัจจุบัน แม้จะมีความใกล้เคียงแต่ก็มีความแตกต่าง ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยสร้างปรากฏการณ์แหวกม่านประเพณีเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารที่เป็นนายกรัฐมนตรีเองมาแล้ว อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งมายาวนานเป็นปีที่ 7 ย่าง 8 ปี จะกลายเป็นหนังม้วนเดิม ที่จบไม่เหมือนเดิมได้หรือไม่ต้องติดตาม