ปี 2565 ล่วงมาแล้ว 5 วัน แม้ในปีที่ผ่านมา ประชาชนคนไทยจะปรับตัวเข้ากับวิถีนิวนอร์มอลจนเกือบจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว สำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่ภาพของประเทศไทยในปี 2565 และในอนาคตข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร
ขออนุญาตนำความที่ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวไว้ในการประชุมวิชาการระดับชาติ ฉลองครบรอบ 50 ปี การก่อตั้งสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวข้อ "มองโลกในไทย มองไทยในโลก"มานำเสนอเพื่อให้เห็นทิศทางและการเตรียมตัวรับอนาคต
“ในอีก 50 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปมาก โดยปัจจัยแรกคืออัตราประชากรในประเทศไทยที่คนเกิดใหม่ลดลง มีคนที่อยู่ในเจนเนอเรชั่นที่แตกต่างกันเยอะมาก เด็กเข้าโรงเรียนลดลง คนที่เข้ามหาวิทยาลัยเหลือแค่ 4-5 แสนคน ขณะที่ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก
ปัจจัยถัดมาคือเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป โครงสร้างความสำคัญระหว่างบุคคล ชีวิตครอบครัว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ก็เปลี่ยนไป ปัจจัยที่สามคือโควิด-19 ที่ทำให้เราไม่รู้ว่าจะกลับไปมีปฏิสัมพันธ์ปกติได้เมื่อไหร่ และเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อคนเหล่านี้เรียนจบไปแล้วจะต้องใช้ทักษะส่วนตัว ซึ่งจะเป็นอย่างเดียวกับคนรุ่นก่อนหน้าโควิดหรือไม่
อีกเรื่องที่เกิดเฉพาะในสังคมไทยเหมือนกัน ก็คือการนิยามสิ่งที่เป็นคุณค่าใหม่ในทางการเมือง การปกครอง และสังคม โดยคนรุ่นใหม่ปฏิเสธสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ปฏิเสธความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ปฏิเสธค่านิยมซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อถือหรือศรัทธา และเขาสามารถทำให้การปฏิเสธของเขาเป็นที่รู้จักแพร่หลาย เป็นที่เข้าถึงโดยผู้คนเป็นแสนล้านคนได้ภายใน 1 วันด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ความท้าทายเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและเป็นเหตุที่ทำให้สังคมไทยในช่วงเวลาต่อไปนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก
ประเด็นสุดท้าย ระบบการศึกษาของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หลังจากนี้การเรียนการสอนปกติยังจะเป็นเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า วันนี้มหาวิทยาลัยชั้นนำ ยังดูเหมือนว่าจะมีนักศึกษาตามจำนวนที่ประสงค์จะเข้ารับ แต่อีก 2-3 ปีจะยังเป็นเช่นนั้นหรือไม่ สถาบันอุดมศึกษาจำนวนมากอาจต้องล้มหายตายจากไป เพราะเหตุผลของการไม่มีคนอยากเรียนมหาวิทยาลัย และไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยที่เขาไม่ได้เลือก และเขาก็ไม่ได้ให้คุณค่าของการเรียนจบมหาวิทยาลัยมากไปกว่าทักษะในการที่จะออกไปสู่สังคมภายนอก ทำมาหากิน ดูแลตัวเองได้ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”