ดูเหมือนว่าการเลือกตั้งซ่อมใน 2 เขต 2จังหวัด พื้นที่ภาคใต้ที่จะมีขึ้นในราวกลางเดือนม.ค.2565 กำลังกลายเป็น สนามรบ ที่กดดัน บีบคั้นทั้งต่อ พรรคพลังประชารัฐในฐานะ ผู้ท้าชิง ตลอดจน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ แชมป์เก่า
มติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ก่อนหน้านี้ ที่เคยเคาะว่าพรรคจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมทั้ง 2เขต คือ เขต 6 จ. สงขลา และ เขต 1 จ.ชุมพร ถูกหักลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อ บิ๊กป้อมพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีปกาศิต ให้พรรคส่งผู้สมัครลงเพียงเขตเดียว คือส่ง อนุกูล พฤกษานุศักดิ์ ลงสนามเลือกตั้งซ่อม เขต 6 สงขลาเพียงเขตเดียว ส่วนเขต 1 ชุมพร พรรคพลังประชารัฐ เลือกที่จะ ถอย
แน่นอนว่าการตัดสินใจของพล.อ.ประวิตร ย่อมไปเชื่อมโยงและย้ำว่า ข่าวลือ ที่ว่า ชุมพล จุลใส อดีตส.ส.ชุมพร เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมย้ายบ้านในการเลือกตั้งรอบหน้า อีกทั้งยังไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่ยังดึง ลูกช้าง สุพล จุลใส ส.ส.เขต 3 ชุมพร จากพรรครวมพลังประชาชาติไทย ย้ายเข้าพลังประชารัฐ อีกด้วย
ดังนั้นเมื่อระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ ลูกหมี เปิดดีลกันเอาไว้ จึงเกิดการ หลีกทางกันเกิดขึ้น นั่นคือพรรคพลังประชารัฐ ยอมเปิดทางให้ชุมพล ส่งคนลงไปรักษาเก้าอี้ส.ส.ชุมพร เขต 1 แต่ดูเหมือนว่าปัญหายังไม่ได้จบลงที่การเปิดดีล ข้ามพรรคครั้งนี้ เมื่อ ทนายแดง ชวลิต อาจหาญ อดีตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ ได้ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อแสดงออกว่า รับไม่ได้ กับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยให้เหตุผลว่าเขาเองได้ทำทุกอย่างเต็มที่ เดินหาเสียงมาโดยตลอดใช้ทุนรอนของตัวเอง แต่สุดท้าย พรรคกลับมีมติเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.64 ว่างดส่งผู้สมัครลงเขต1 ชุมพร
นอกจากนี้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในพรรคพลังประชารัฐระลอกใหม่ เมื่อมีคำสั่งเปลี่ยนตัว แม่ทัพ โดยมอบหมายให้ สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะกรรมการบริหารพรรค ลงไปนั่งผอ. เลือกตั้งซ่อมจ.สงขลา แทน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ทั้งที่ สุชาติ คือแกนนำจากกลุ่มเมืองชล และไม่คุ้นชินกับพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัดหากเทียบกับร.อ.ธรรมนัส ซึ่งเจ้าตัวเดินสายทำพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง
จนเกิดคำถามว่า การเปลี่ยนตัวเล่น ส่งสุชาติ ลงไปสู้ศึกเลือกตั้งที่สงขลา ครั้งนี้จะเป็นการ จงใจ ส่งให้ไปพ่ายแพ้ หรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า พื้นที่เลือกตั้งซ่อมที่จ.สงขลา นั้นพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องสู้สุดกำลัง ภายใต้การดูแลของ เดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ คนใหม่ ที่มีความพร้อมทั้งกระสุน และกระแส