นับตั้งแต่เปิดประชุมรัฐสภา สมัยประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.64 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ในห้วงเวลาไม่ถึงสองเดือน แต่ปรากฏว่า "สภาฯล่ม" ไปแล้วถึ 4 ครั้ง ถือเป็นสถิติที่น่าหนักใจสำหรับ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่น้อย เพราะนี่คือสัญญาณที่กำลังสะท้อนให้เห็นว่า "แนวรบนิติบัญญัติ" กำลังอ่อนแรง กลายเป็น "จุดอ่อน" ที่บีบให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตัดสินใจ ประกาศ "ยุบสภา" อยู่ไม่ครบเทอมตามที่ได้ลั่นวาวาเอาไว้หรือไม่ ? เหตุการณ์สภาฯล่มที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน กำลังสะท้อนภาพให้เห็นว่า "ฝ่ายค้าน" อยู่ในจุดที่ "เป็นต่อ" เมื่อ "นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว" หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมายอมรับว่า ส่วนหนึ่งคือเกมการเมืองของฝ่ายค้านเองที่ต้องการกดดันรัฐบาล ที่เกิดปัญหาความไม่เป็นเอกภาพภายในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ดังนั้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องไปแก้ปัญหากันเอง ทั้งนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ สภาฯล่ม อย่างต่อเนื่อง สำหรับ "พรรคฝ่ายค้าน" ที่ไล่ขย่มรัฐบาลรายวัน ด้วยการตอกย้ำปมปัญหาความไม่มีเสถียรภาพ ดังนั้นจึงสมควรที่พล.อ.ประยุทธ์ จะตัดสินใจยุบสภาฯ เพราะถึงอยู่ต่อไป โอกาสที่กฎหมายสำคัญๆ โดยเฉพาะกฎหมายการเงิน จะถูกคว่ำกันกลางสภาฯ ยิ่งมีสูง และหากปล่อยให้สถานการณ์เดินไปถึงจุดเสี่ยงเช่นนั้น แน่นอนว่ารัฐบาลจะยิ่งมีแต่เสียกับเสีย ! อย่างไรก็ดีสำหรับ ฝ่ายรัฐบาลแล้วย่อมมองเห็น "โอกาส" ที่จะนั่งทำหน้าที่ฝ่ายบริหารไปจนถึงครบเทอมในปี 2566 ย่อมมีโอกาส มีเวลาในการสะสมกำลัง ได้เหนือกว่าฝ่ายค้านอย่างเห็นๆ และที่สำคัญไปกว่านั้น "พรรคร่วมรัฐบาล" ทุกๆพรรค ย่อมไม่มีใครกล้าถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล หรือเรียกร้องให้มีการยุบสภาฯ แต่อย่างใด สิ่งที่เกิดขึ้นจากแนวรบสภาฯ ในห้วงเวลานี้ ซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นควัน จากการเล่นเกม ประลองกำลังระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล โดยที่ภายในพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ "พรรคแกนนำ" เอง ที่ความขัดแย้งยังเคลียร์กันไม่ลงตัว แต่ถึงกระนั้นใช่ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะยอมเล่นเกมตาม "ฝ่ายค้าน" ด้วยการประกาศยุบสภาฯ เพราะเขาเองรู้ดีว่าความพ่ายแพ้นั้นรออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะเส้นทางที่จะได้กลับมาเป็น "นายกฯสมัยที่ 3" จะยิ่งยากลำบาก มากกว่าที่นึก !