ช่วงปลายปี 2563 บรรดาผู้เชี่ยวทั้งหลายต่างออกมาชี้ว่าเศรษฐกิจในปี 2564 นั้นเป็นการเผาจริง ซึ่งจากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดระลอก 3 ที่มีความรุนแรงที่กระทบต่อระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจไทย แต่เมื่อมีการผลักดันนโยบายเปิดประเทศออกมาและเริ่มขับเคลื่อนในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่า 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 จะเปี่ยมไปด้วยความหวัง
เชื้อไวรัสกลายพันธุ์โอไมครอนจะเข้ามาเป็นตัวขัดจังหวะ สกัดอารมณ์ แต่จากข้อมูลที่ยังไม่แน่ชัดในเรื่องความรุนแรงของโรคอีกทั้งสวนใหญ่ที่ติดเชื้อไม่แสดงอาการหรือมีอาการน้อยไม่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ก็ทำให้อาการตื่นตระหนกจากการพบเชื้อไวรัสกลายพันธุ์นี้ทะเลาเบาบางลง แต่หากมีการระบาดใหญ่ก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจปี 2564 และต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า
กระนั้น ทิศทางเศรษฐกิจในปี2565 ก็ยังเป็นสิ่งที่ท้าทายของหลายภาคส่วน โดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปี 2565 เศรษฐกิจไทยยังคงต้องพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลักโดยคาดว่าจะมีโอกาสเติบโตระดับ 5-6% จากปี 2564 ที่คาดว่าตลอดทั้งปีจะเติบโตเกินระดับ 15% จากปี 2563
ทั้งนี้ รองประธานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้เหตุผลว่าเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและบริการที่ต้องพึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังเดินทางเข้ามาในอัตราต่ำเพราะจีนยังคงไม่เปิดประเทศ
“หลังการเปิดประเทศ 1 พ.ย. 64 แม้จะเริ่มทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาแต่ก็ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนได้เล็กน้อย เพราะการท่องเที่ยวเราอาศัยนักท่องเที่ยวจีนค่อนข้างมากแต่จีนยังไม่เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวออกมาและคาดว่าปีหน้าก็คงจะยังไม่มี แต่ส่งออกยังไปได้ดีอยู่ แต่กระนั้นเศรษฐกิจภายในของไทยเองยังอ่อนแอสะท้อนจากหนี้ครัวเรือนมีมูลค่า 14.27 ล้านล้านบาท คิดเป็น 89.3% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หากมีโอไมครอนแพร่ระบาดก็จะเป็นฝันร้ายของ ศก.ไทยทันที แต่ทั้งนี้ในแง่ ศก.ไทยรัฐยังควรสำรองเงิน 1 ล้านล้านบาทเพื่อเตรียมอัดฉีดไว้ต่อเนื่องโดยเน้นดูแลเศรษฐกิจฐานราก”
อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าในปี 2565 นอกจากปัจจัยของเชื้อไวรัสโอไมครอน จะชี้เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายเศรษฐกิจไทยในปี 2565 แล้ว ปัจจัยเรื่องการเมืองเป็นเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเลือกตั้งท้องถิ่น ทั้งการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ก็จะทำให้เงินสะพัด มีการใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งและเงินหมุนเวียนไปยังเศรษฐกิจในหลายระดับ