ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ออกมาเตือนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทวีปยุโรปกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของเชื้อรอบใหม่ โดยเฉพาะในเดือนธันวาคมเนื่องจากเป็นช่วงอากาศหนาว เทศกาล ในขณะที่ปัจจุบันยังมีกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีน แต่ก็อยากมีภูมิคุ้มกัน โดยยกอุทาหรณ์ มีคนออสเตรียมากกว่า 4 คน ไปร่วมปาร์ตี้คนติดเชื้อโควิด โดยคนจำนวนหนึ่งอยากมีภูมิคุ้มกัน จึงเอาตัวเองไปติดเชื้อ เพราะคิดว่า หากติดแล้วไม่มีอาการก็จะมีภูมิต้านทานเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยกลุ่มคนที่ไปร่วมปาร์ตี้ 4 คน มี 1 คนเสียชีวิต และ 3 คนอยู่ไอซียู ที่สำคัญ 1 ในนั้นเป็นเด็ก อันนี้แปลว่า ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุ คนที่ไม่มีภูมิฯ ก็เสียชีวิตได้
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ยุโรปพบว่า แม้ฉีดวัคซีนเข็ม 1 และครบโดสเกิน 70% แล้วก็ยังติดเชื้อได้ ปัจจัยสำคัญมาจาก วัฒนธรรมความเชื่อ ความเป็นอิสระในตะวันตกจะมากกว่า และอีกจำนวนหนึ่งไม่ไว้วางใจในประสิทธิภาพวัคซีน จนถึงวันนี้ยังมีคนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมรับวัคซีน การผ่อนคลายสภาวะที่ถูกควบคุม สันทนาการ การเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มใหญ่ๆที่ขาดมาตรการป้องกัน
อย่าลืมว่า โควิดอยู่มา 2 ปี เรามีความเครียดสะสม และเมื่อประเทศมีการผ่อนคลาย สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้คนอยากผ่อนคลายมากขึ้น เพราะยกเลิกใส่หน้ากาก ยิ่งทำกัน รวมไปถึงเศรษฐกิจก็เป็นอีกปัจจัย อย่างการดึงเศรษฐกิจด้วยการมีกิจกรรมต่างๆ ก็เป็นส่วนสำคัญ ประกอบกับภูมิอากาศก็เป็นสิ่งหนึ่ง ยิ่งตะวันตกเข้าสู่หน้าหนาว อุณหภูมิลดลง และนิยมอยู่ในอาคารพื้นที่ปิด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ก็ยิ่งเสี่ยง หากมีคนติดโควิดขึ้นมา ดังนั้น ในเดือนธันวาคม จึงเป็นช่วงเวลาเสี่ยงของทั้งโลก
ขณะที่นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงกรณีที่มีหลายเทศกาลในเดือนธันวาคม เพราะ ถ้าดูสถานการณ์ทั้งโลกจะเห็นว่า ตัวเลขกำลังขึ้นมาก โดยเฉพาะในยุโรป และที่ผ่านมาสถานการณ์ของเราตามยุโรป 2-3 เดือนทุกที ตนจึงคิดว่าการผ่อนปรนต้องทำแน่นอน เพียงแต่เราต้องเคร่งครัดเรื่องมาตรการ ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง ไม่เช่นนั้นมันขึ้นแน่นอน เพราะขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศเย็นไวรัสจะเติบโตได้ดี และเรื่องวัคซีนเริ่มเห็นได้ชัด ที่ยุโรปใช้วัคซีนที่ดี ครอบคลุม 70-80 เปอร์เซ็นต์ก็กลับมาระบาดใหม่
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาเตือนว่าจะมีระบาดใหญ่ อีกทั้งได้ให้ข้อมูลด้วยว่า ประเทศที่ได้รับวัคซีนแอสตราเซนเนกาคนเจ็บป่วยรุนแรงน้อยกว่าประเทศที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์เป็นตัวหลัก ตอนนี้จึงอยากบอกว่าฉีดอะไรก็ได้ฉีดไปก่อน เราโชคดีที่มีวัคซีนแอสตราเซนเนกาเป็นตัวหลัก หรือแม้แต่การที่เราฉีดวัคซีนซิโนแวคเยอะ จากข้อมูลป้องกันเจ็บป่วยรุนแรงได้แน่นอน ตรงนี้ถือเป็นการช่วยประเทศ ช่วยให้ระบบสาธารณสุขไม่มีภาระมากเกิน ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเรื่องเตียง โดยยังแสดงความกังวลว่า ถ้าการระบาดกลับมาใหม่ อาจจะไม่ได้ฉลองปีใหม่
เมื่อฟังทั้งสองอาจารย์แพทย์แล้ว ห้วงเวลาเดือนธันวาคมเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ที่จะต้องช่วยกันประคับประคอง รับผิดชอบต่อตัวเอง รับผิดชอบต่อสังคม เคร่งครัดในมาตรการดูแลป้องกันตนเอง และในที่สาธารณะ เพื่อให้ได้ฉลองเทศกาลปีใหม่ ความสุขของคนไทยจะได้ไม่สะดุด