เสือตัวที่ 6
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำเตือนเมื่อ 29 พ.ย.64 ว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า “โอไมครอน” มีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยการเกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของไวรัสตัวนี้ ยังไม่มีข้อค้นพบที่แน่ชัดว่า มันกลายพันธุ์มาจากไวรัสตัวไหนกับตัวไหน แต่ที่แน่ๆ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อ โอไมครอนนี้ ได้สร้างความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อประชากรในประเทศทั่วโลก และการที่มีโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนนี้ กำลังมีแนวโน้มที่เป็นไปได้สูงว่า พวกมันมีประสิทธิภาพสูงขึ้นทั้งการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้น จากความสามารถในการหลบหลีกภูมิต้านทานในตัวมนุษย์ที่เกิดจากวัคซีนทั้งหลายในปัจจุบัน ทั้งพวกมันยังสามารถติดต่อกระจายไปได้อย่างกว้างขวางแม้ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกันตามมาตรการที่เคยทำสำเร็จมาแล้วจากการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดิม ซึ่งก็อาจนำไปสู่สถานการณ์อันเลวร้ายต่อมวลมนุษยชาติอีกครั้งหนึ่ง ด้วยโอไมครอนส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ การเพิ่มขึ้นในส่วนการส่งผ่านการแพร่เชื้อ หรือการก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายโดยมีการเปลี่ยนแปลงในทางระบาดวิทยา (การพัฒนาของเชื้อโรค) ของโควิด-19 ความรุนแรงของโรค หรือการเปลี่ยนแปลงในอาการของโรคทางคลินิกที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขและมาตรการทางสังคม หรือการวินิจฉัย วัคซีน รวมทั้งระบบการบำบัดรักษาโรคที่มีอยู่
ทั้งนี้ WHO ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนี้ มีจำนวนการกลายพันธุ์บนโปรตีนหนาม (Spike Protein) ในหลายตำแหน่งอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งบางตำแหน่งก็น่าหวั่นวิตกว่าจะมีอิทธิพลต่อแนวโน้มของสถานการณ์โรคระบาด ดังนั้นความเสี่ยงโดยรวมที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนจึงอยู่ในระดับสูงอย่างยิ่งในสถานการณ์ขณะนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไวรัสโอไมครอนตัวนี้ ยังเป็นไวรัสที่มนุษย์พบเจอครั้งแรกที่ประเทศอาฟริกาใต้ ที่ WHO ได้รับรายงานเรื่องไวรัสตัวนี้ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 64 ซึ่งเป็นไวรัสตัวใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ความรู้ความเข้าใจของสิ่งมีชีวิตตัวนี้ยังมีไม่มากพอ ข้อมูลต่างๆ ในห้วงเวลานี้ จึงเป็นเพียงข้อสันนิฐานของนักวิชาการและผู้ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสวิทยาเท่านั้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน เพื่อทำความเข้าใจถึงความสามารถของสายพันธุ์โอมิครอนในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและการติดเชื้อครั้งก่อนหน้า โดยคนทั้งโลกต่างคาดหวังว่า น่าจะมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า
ในขณะที่คนทั้งโลก กำลังตื่นตัวเรื่องโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อย่างโอไมครอนที่อุบัติขึ้นใหม่อย่างน่ากังวล แต่อย่าลืมว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดิมที่เรียกว่า สายพันธุ์เดลตา ก็ยังไม่ได้จางหายไปเท่าใดนัก สายพันธุ์เดลตายังคงเป็นสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้อย่างประมาทไม่ได้ การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อเดลตายังไม่สามารถควบคุมได้เท่าที่ควร จึงคงปรากฏการณ์ของคนติดเชื้อทั่วโลกมากที่สุดในปัจจุบัน ดร.โซเมีย สวามินาธาน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ WHO กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อกว่า 99% ทั่วโลกเกิดจากสายพันธุ์เดลตา และอัตราการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกลุ่มที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน จึงคิดว่านั่นคือเรื่องที่คนทั้งโลกต้องให้ความสำคัญก่อน ในขณะที่ผู้คนต่างเฝ้ารอข้อมูลเพิ่มเติมอย่างใจจดใจจ่อเกี่ยวกับสายพันธุ์โอไมครอน
จากประสบการณ์ของมนุษยชาติที่ต่อสู้กับภัยคุกคามตัวใหม่ที่มนุษย์มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้ มีบทเรียนสำคัญว่า ไวรัสร้ายตัวนี้ที่ชื่อ โควิด-19 สามาถแพร่กระจายไปได้ทั้งโลกไม่เว้นแม้แต่พื้นที่ใด ด้วยการเกาะติดกับมนุษย์ที่มีเชื้อซึ่งมันแอบซ่อนตัวไปกับมนุษย์ที่เดินทางไปมาหาสู่กันจากทวีปสู่ทวีป จากประแชทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง โดยมีมนุษย์เป็นพาหะในการเดินทางเพื่อขยายเผ่าพันธุ์ของมัน พร้อมกับการคร่าชีวิตผู้คน และทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมอันเป็นปกติสุขของผู้คนในโลกมาอย่างมากมายอย่างที่มนุษย์หยุดยั้งมันได้ยาก ปรากฏการณ์นี้ จึงเป็นข้อเตือนใจให้ทุกประเทศต้องตระหนักและให้ความสำคัญกับการเตรียมรับมือกับไวรัสร้ายตัวใหม่นี้อย่างจริงจังและทันการณ์ เพราะมันสามารถเดินทางไปยังคนในทุกดินแดนได้แม้จะอยู่ห่างไกลกัน อาทิ วันที่ 28 พ.ย.2564 สำนักข่าวอัลจาซีรา รายงานว่า อังกฤษ เยอรมนี และอิตาลี เป็นสามประเทศที่พบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ขณะที่หลายประเทศได้ระงับการเดินทางจากกลุ่มประเทศแอฟริกาตอนใต้แล้ว และล่าสุด ทางการประเทศญี่ปุ่น ได้ยืนยันการพบผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนรายแรกที่พบในญี่ปุ่น เป็นทูตจากประเทศนามิเบีย โดยถูกตรวจพบเชื้อที่สนามบินนาริตะ นับเป็นผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์รายแรกที่พบในญี่ปุ่น หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นเพิ่งจะประกาศปิดประเทศ ห้ามชาวต่างชาติจากทุกประเทศเข้ามายังญี่ปุ่นเป็นเวลา 1 เดือน โดยเริ่มมีผลอย่างเป็นทางการเมื่อ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา
ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อโอไมครอน กำลังเป็นเชื้อโควิดกลายพันธุ์ที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำ ถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ในแอฟริกาใต้ และตั้งแต่นั้นได้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อในเบลเยียม บอตสวานา อิสราเอล และฮ่องกง และแม้ว่านักระบาดวิทยาจะกล่าวว่า การระงับการเดินทางอาจสายเกินไปที่จะหยุดไม่ให้โอไมครอนระบาดไปทั่วโลก แต่ก็เป็นมาตรการฉุกเฉินเร่งด่วนประการเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้ที่หลายประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา บราซิล แคนาดา และกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป รวมทั้งประเทศไทยและประเทศต่างๆ เริ่มทยอยประกาศระงับการเดินทางหรือจำกัดการเดินทางจากแอฟริกาใต้แล้ว ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และเริ่มใกล้ประเทศไทยเข้ามาทุกที เมื่อสิงคโปร์ ตรวจพบผู้โดยสาร 2 ราย ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน โดยเป็นผู้ที่เดินทางจากประเทศแอฟริกาใต้ มาเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินชางงีของสิงคโปร์ เพื่อไปยังปลายทางนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย
โอไมครอนคือตัวอย่างของภัยร้ายของคนทั้งโลกที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น มันจึงเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์ใหม่ที่น่าสะพรึงกลัวที่กำลังก่อสงครามกับมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนควรตระหนักถึงภยันตรายที่มีต่อมนุษย์ทั้งโลกร่วมกันอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสิ่งมีชีวิตพันธุ์นี้ มันพร้อมที่จะพัฒนาตัวเองให้มีศักยภาพสูงขึ้นตลอดเวลาเพื่อต่อสู้กับศักยภาพของมนุษย์อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นบทเรียนสำคัญที่มนุษย์โลกต่างต้องตระหนักถึงสงครามครั้งใหม่นี้ร่วมกัน เพื่อละวางอุดมการณ์หรือแนวความคิดใดๆ อันจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าของมนุษย์ และมุ่งมั่นรวมพลังของทุกคนในโลกเพื่อเอาชนะสงครามครั้งนี้ให้ได้